บทความให้กำลังใจ(มองตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สื่อโซเชียลคุณอนันต์โทษมหันต์
    พระครูนิรมิตวิทยากร (วิทยา กิจฺจวิชฺโช)


    เมื่อทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ เพียงกระซิบเบา ๆ เสียงก็ดังไปไกล ดังนั้น การจะทำจะพูดอะไรออกสื่อโซเชียล จึงต้องระมัดระวัง คิดใคร่ครวญให้สุขุมรอบคอบว่า ตนเองต้องการจะสื่ออะไร สิ่งนั้นใช่ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ เป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร มีความจำเป็นหรือไม่จำเป็น จะทำให้ใครเดือดร้อน หรือสร้างความเสียหายแก่ใครหรือเปล่า จะผิดกฎหมายหรือไม่
    .
    ถ้าใครไม่คิดอ่านใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน เมื่อเผยแผ่เรื่องราวออกสื่อโซเชียลไปแล้ว ก็มักจะมีผลเสียหายตามมา อาจเกิดการทะเลาะวิวาท ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง
    .
    ในอดีตตอนที่ยังไม่มีสื่อโซเชียล มีแต่สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ แม้โทรศัพท์ก็ต้องไปยืนเข้าคิวรอที่ชุมสาย กว่าจะได้โทรคุยกันก็นาน แต่เราก็อยู่กันมาได้ การกระจายข้อมูลยังอยู่ในวงจำกัด และมีต้นทุนที่ต้องจ่ายค่อนข้างสูง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีใครไปทำโฆษณาออกสื่อ โดยมากมักจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเป็นส่วนใหญ่
    งานวัด งานบุญทั้งหลาย จะเผยแผ่ในวงแคบในหมู่คนรู้จักมักคุ้นกันที่พอจะติดต่อกันได้ ต้องเจอตัวจริง ต้องเอาตาไปดู เอาหูไปฟัง เอากายไปสัมผัสกันจริง ๆ
    .
    ในยุคปัจจุบันทุกคนมีสื่อของตัวเองอยู่ในมือ สามารถเผยแผ่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ทั้งภาพและเสียง โดยอาศัยเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวกับช่องทางโซเชียลมีเดีย แม้อยู่ไกลกันก็มองเห็นกันได้
    .
    อยากทำบุญก็แค่โอนเงินผ่านโมไบล์แบ๊งค์กิ้ง ไม่ต้องไปวัดก็ทำบุญได้อย่างสะดวกสบาย เลยทำให้เกิดกิเลสตัวติดสุขติดสบายหนักเข้าไปอีก
    การปฏิบัติธรรมสมัยนี้ มันไม่ง่าย เพราะมีสิ่งยั่วยุที่คอยบั่นทอนทำลายจิตใจมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มันมีคุณอนันต์แก่ผู้รู้จักใช้ แต่มันก็มีโทษมหันต์แก่ผู้ไม่รู้จักใช้ ทุกคนจึงต้องฉลาดที่จะเรียนรู้เพื่อใช้มันให้เป็น โดยที่จะไม่ให้เกิดโทษ หรือเกิดโทษน้อยที่สุด
    .
    บางคนสามารถทำมาค้าขายออนไลน์ทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่บางคนก็ขาดทุนอย่างย่อยยับก็มี ยอดไลค์ ยอดวิว ยอดผู้ติดตาม กลายเป็นสิ่งที่ทำเงินได้ เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์ต้องเปลี่ยนไปแน่ ๆ แต่จะเปลี่ยนไปในทางสูงหรือทางต่ำ ก็ขึ้นอยู่กับมโนธรรมภายในใจของมนุษย์แต่ละคนที่จะปฏิบัติต่อตนเอง
    .
    ในเมื่อโลกนี้มันมีทั้งคนดีและคนชั่ว มิหนำซ้ำ คนชั่วยังมีมากกว่าคนดี อีกทั้งทุกคนมีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านสื่อโซเชียลได้อย่างเท่าเทียมกัน
    จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสื่อโซเชียลจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่วต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เกิดการโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นกัน อย่างหลากหลายรูปแบบ จนไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้เลย
    .
    แม้กระทั่งการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีผู้กล่าวกล่าวบิดเบือน กล่าวตู่คำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเอาความคิดเห็นของตัวเองมาใส่เข้าไปอย่างที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป จะเป็นเพราะความไม่รู้จริง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเจตนาจะกล่าวบิดเบือน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ก็อยู่ที่จิตสำนึกความมีหิริโอตตัปปะของแต่ละคน
    .
    ส่วนผู้ที่เผยแผ่ธรรมแท้อันเป็นข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์ได้ คือ มรรค ผล นิพพาน ก็มีแต่เฉพาะในวงกรรมฐานสายป่าที่เป็นปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่หลุดพ้นไปแล้วเท่านั้น
    .
    นอกนั้นที่เอาธรรมในตำรามาเผยแผ่ หรือเกิดจากการใช้มโนนึกคิดเอาเอง ด้นเดาเกาหมัดเอาเอง ก็มีมากมายนักหนา บางทีเห็นแล้วก็อดสังเวชสลดใจไม่ได้ ก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวชอยู่ภายในใจ คิดแต่เพียงว่า เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง
    .
    หวนนึกถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตา สอนย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้ายังสอนตัวเองไม่ได้ ยังเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากคุกของกิเลสไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปสอนใครเลย ถ้าตัวเองยังไม่รู้จริง จะเอาความรู้อะไรไปสอนเขา ถ้าสอนธรรมผิดก็เป็นกรรมหนักอีก เพราะตัวเองหลงผิดแล้ว ยังไปทำให้คนอื่นพลอยหลงผิดตามไปด้วย นี่! ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย.

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2025
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    upload_2025-7-29_11-21-43.png

    ผู้ที่ยังหลงทางไม่รู้ทาง ก็ต้องเดินตามหลังท่านผู้รู้ที่ชำนาญทางแล้ว จึงจะไม่หลงทาง
    .
    ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า สอนคนอื่นมันง่ายนัก พูด ๆ ไปก็จบแล้ว แต่สอนตัวเองมันยากกว่านักหนา เพราะสอนแล้วต้องทำเองให้ได้ด้วย เพื่อเป็นบทพิสูจน์ทราบไปในตัวด้วยว่า ถ้าสอนตัวเองไม่ผิด การปฏิบัติก็ต้องเห็นผลประจักษ์ใจชัดแจ้ง สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง
    .
    บรรดาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านไม่แสดงธรรมเพราะความอยากแสดง แต่ท่านเพียงแสดงธรรมแก่บุคคลที่ควรแสดง และแสดงธรรมไปตามสมควรแก่ธรรม ด้วยจิตเมตตาหวังให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์จากธรรม ชี้แจงเหตุผลให้เข้าใจ มากบ้างน้อยบ้างตามสมควรแก่ภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ ทั้งไม่ยกตนข่มผู้อื่น
    .
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัวมันเอง ตามสมควรแก่ฐานะของมัน ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาถือเอาแต่เฉพาะสิ่งที่เป็นคุณ และปล่อยวางสิ่งที่เป็นโทษไว้เสียตามความเป็นจริงของเขา ไม่จำเป็นต้องไปยกสิ่งนั้น ไปกดสิ่งโน้น และไม่ไปเก็บเอาความดีความชั่วของโลกมาแบกมาหาม เพื่อสร้างพิษภัยให้กับตัวเอง
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/สื่อโซเชียลคุณอนันต์โทษมหันต์-.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ฟังกันบ้าง
    By : สามสลึง

    สมนึกป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล อาการทรุดลงเป็นลำดับ ญาติจึงนิมนต์หลวงพ่อมาเทศน์ ท่านรีบมาอย่างรวดเร็ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย สมนึกก็มีอาการทรุดหนักกว่าเดิม พยายามยกหัวและอ้าปากจะพูด แต่หลวงพ่อยกมือห้าม “ไม่เป็นไร อย่าลำบากเลย นอนตามสบาย “ แล้วท่านก็เริ่มเทศน์ให้สมนึกปล่อยวาง ปลงทุกอย่าง ความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น จงทำใจให้เป็นกุศล ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯลฯ

    ระหว่างที่หลวงพ่อเทศน์ สมนึกออกอาการหนักมากขึ้น ถึงกับโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ส่งสัญญาณว่าต้องการเขียนข้อความบางอย่าง ญาติ ๆ จึงหยิบปากกากับกระดาษส่งให้ ส่วนหลวงพ่อเห็นว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว จึงรีบเทศน์ ขณะที่สมนึกทุรนทุรายมากขึ้น รวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความสำคัญได้สมใจ เสร็จแล้วก็สิ้นลม ทิ้งกระดาษไว้ข้างตัว

    หลวงพ่อเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าไว้ เพราะเห็นว่ายังไม่สมควรอ่านคำสั่งเสีย ขณะที่ญาติ ๆ ของสมนึกกำลังเศร้าโศก

    เย็นนั้น หลังบรรจุศพ หลวงพ่อหยิบคำสั่งเสียของสมนึกมาอ่านต่อหน้าญาติทั้งหมด ท่านเกริ่นว่า “สมนึกเป็นห่วงญาติ ๆ มาก ขนาดใกล้ตายแล้วยังนึกถึงพวกเธอ เขาคงอยากจะบอกให้พวกเธอหักห้ามจิตใจ อย่าเศร้าโศกไปเลย” ว่าแล้วท่านก็อ่านดัง ๆ ว่า

    “ถอยไป อย่าเหยียบสายออกซิเจน”

    หลวงพ่อเหยียบสายออกซิเจนจนสมนึกเพียบหนัก แต่หลวงพ่อไม่รู้ตัว เพราะคิดแต่จะเทศน์สอนผู้ป่วยอย่างเดียว สมนึกอยากจะบอกหลวงพ่อว่ากำลังเหยียบอะไรอยู่ แต่หลวงพ่อปรารถนาดี อยากให้สมนึกได้ฟังธรรมะเต็มที่ จึงระดมธรรมใส่สมนึกไม่ยั้ง

    สมนึกคงมีชีวิตยืนยาวอีกหน่อย และได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อเต็มที่อย่างแน่นอน ถ้าหลวงพ่อเพียงแต่เงี่ยหูฟังบ้างว่าสมนึกต้องการพูดอะไร หลวงพ่อนั้นมีเมตตามาก จึงอยากจะเทศน์เต็มที่ จนลืมฟังผู้ป่วย

    การฟังนั้นสำคัญไม่น้อยกว่าการพูด การเยียวยาผู้ป่วยหรือคนทุกข์นั้น บางทีก็ไม่ต้องใช้การพูด เพียงแต่ฟังเขา ก็ช่วยเขาได้มาก หลวงปู่หลวงตาสมัยก่อนท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ชาวบ้านได้ก็เพราะท่านเป็นฝ่ายนั่งฟังให้เขามาระบายความทุกข์ พอฟังเสร็จ พูดแนะนำเขาสักสองสามคำ ชาวบ้านก็สบายใจแล้ว สาเหตุที่ผู้คนไปพึ่งศาลพระพรหมกันมากทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านฟังอย่างเดียว และฟังทุกเรื่อง ใคร ๆ จึงอยากจะมาระบายกับท่าน

    เดี๋ยวนี้เราพูดกันมากขึ้น แต่ฟังกันน้อยลง โทรศัพท์มือถือที่แพร่ระบาด ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเราฟังกันมากขึ้นเลย หากเป็นเพียงเครื่องมือให้เราพูดกันมากขึ้นเท่านั้น อาการแบบนี้ระบาดไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัว พ่อแม่มีเวลาฟังลูกน้อยลง ยามที่ลูกมีปัญหา แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าดู เช่น เที่ยวดึก ติดผู้หญิง หนีเรียน พ่อแม่ก็คิดแต่จะสอนลูก มากกว่าที่จะนั่งฟังว่าลูกมีปัญหาอะไรจึงทำตัวเช่นนั้น บางครั้งลูกเล่าให้ฟัง พ่อก็ตัดบทว่า “เมื่อก่อนพ่อก็เที่ยวเก่ง แต่ก็ไม่เคยก่อปัญหาอย่างเธอเลย” ส่วนแม่ก็ว่า “ตอนเด็ก ๆ แม่เชื่อฟังคุณย่าทุกอย่าง ไม่เคยดื้ออย่างเธอเลย” เจอแบบนี้เข้า ลูกก็ต้องปิดปาก พอไปโรงเรียน เจอครูแบบนี้อีก ก็เลยหันไปไปหาดีเจหรือดาราเป็นที่พึ่งแทน เพราะเขาเหล่านี้รับฟังทุกอย่าง ถึงแม้ไม่สามารถพูดกับเขาโดยตรง ก็ระบายให้รูปของเขาฟังแทน

    ครอบครัวจะน่าอยู่ โรงเรียนจะน่าไป ก็เพราะพ่อแม่และครูบาอาจารย์หัดฟังเด็ก ๆ มากขึ้น ฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ฟังด้วยหูพอเป็นพิธี เพียงเพื่อจะเอาคำพูดของเขามาเล่นงานเขาเองในภายหลัง จะฟังอย่างนี้ได้ต้องมีเมตตามาก ๆ และลดอคติให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ตัดสินล่วงหน้าหรือคิดแต่จะสอนท่าเดียว อย่าลืมว่าความดีนั้นไม่ได้เกิดจากการสอน แต่เกิดจากการเรียนรู้และรู้จักคิดด้วยตนเอง

    มาช่วยกันสร้างบ้านให้น่าอยู่ ด้วยการฟังกันให้มากขึ้น ไม่งั้นอาจลงเอยอย่างเรื่องข้างล่าง

    ลูกชายวัยรุ่นระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ

    “พ่อไม่เข้าใจผมหรอก ผมอยากเป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับ อยากมีคนเข้าใจ พูดแล้วมีคนรับฟัง ไม่ใช่เอาแต่เทศน์เอาแต่สอนอย่างเดียว พ่อเข้าใจไหม ผมอยากได้สิ่งที่บ้านนี้ไม่เคยมีให้เลย”
    ว่าแล้วลูกชายก็เดินสะพายเป้ออกจากบ้าน พ่อจึงรีบเดินเข้ามาจับไหล่

    “อย่ามาห้ามผมได้ไหม” ลูกชายบอกพ่อ

    “ใครว่าฉันห้ามแก แค่อยากขอตามไปด้วยเท่านั้นน่ะ” พ่อวิงวอน
    :- https://visalo.org/article/sarakan254609.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2025
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ฟังกันบ้าง
    By : สามสลึง

    สมนึกป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล อาการทรุดลงเป็นลำดับ ญาติจึงนิมนต์หลวงพ่อมาเทศน์ ท่านรีบมาอย่างรวดเร็ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย สมนึกก็มีอาการทรุดหนักกว่าเดิม พยายามยกหัวและอ้าปากจะพูด แต่หลวงพ่อยกมือห้าม “ไม่เป็นไร อย่าลำบากเลย นอนตามสบาย “ แล้วท่านก็เริ่มเทศน์ให้สมนึกปล่อยวาง ปลงทุกอย่าง ความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น จงทำใจให้เป็นกุศล ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯลฯ

    ระหว่างที่หลวงพ่อเทศน์ สมนึกออกอาการหนักมากขึ้น ถึงกับโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ส่งสัญญาณว่าต้องการเขียนข้อความบางอย่าง ญาติ ๆ จึงหยิบปากกากับกระดาษส่งให้ ส่วนหลวงพ่อเห็นว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว จึงรีบเทศน์ ขณะที่สมนึกทุรนทุรายมากขึ้น รวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความสำคัญได้สมใจ เสร็จแล้วก็สิ้นลม ทิ้งกระดาษไว้ข้างตัว

    หลวงพ่อเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าไว้ เพราะเห็นว่ายังไม่สมควรอ่านคำสั่งเสีย ขณะที่ญาติ ๆ ของสมนึกกำลังเศร้าโศก

    เย็นนั้น หลังบรรจุศพ หลวงพ่อหยิบคำสั่งเสียของสมนึกมาอ่านต่อหน้าญาติทั้งหมด ท่านเกริ่นว่า
    “สมนึกเป็นห่วงญาติ ๆ มาก ขนาดใกล้ตายแล้วยังนึกถึงพวกเธอ เขาคงอยากจะบอกให้พวกเธอหักห้ามจิตใจ อย่าเศร้าโศกไปเลย” ว่าแล้วท่านก็อ่านดัง ๆ ว่า

    “ถอยไป อย่าเหยียบสายออกซิเจน”

    หลวงพ่อเหยียบสายออกซิเจนจนสมนึกเพียบหนัก แต่หลวงพ่อไม่รู้ตัว เพราะคิดแต่จะเทศน์สอนผู้ป่วยอย่างเดียว สมนึกอยากจะบอกหลวงพ่อว่ากำลังเหยียบอะไรอยู่ แต่หลวงพ่อปรารถนาดี อยากให้สมนึกได้ฟังธรรมะเต็มที่ จึงระดมธรรมใส่สมนึกไม่ยั้ง

    สมนึกคงมีชีวิตยืนยาวอีกหน่อย และได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อเต็มที่อย่างแน่นอน ถ้าหลวงพ่อเพียงแต่เงี่ยหูฟังบ้างว่าสมนึกต้องการพูดอะไร หลวงพ่อนั้นมีเมตตามาก จึงอยากจะเทศน์เต็มที่ จนลืมฟังผู้ป่วย

    การฟังนั้นสำคัญไม่น้อยกว่าการพูด การเยียวยาผู้ป่วยหรือคนทุกข์นั้น บางทีก็ไม่ต้องใช้การพูด เพียงแต่ฟังเขา ก็ช่วยเขาได้มาก หลวงปู่หลวงตาสมัยก่อนท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ชาวบ้านได้ก็เพราะท่านเป็นฝ่ายนั่งฟังให้เขามาระบายความทุกข์ พอฟังเสร็จ พูดแนะนำเขาสักสองสามคำ ชาวบ้านก็สบายใจแล้ว สาเหตุที่ผู้คนไปพึ่งศาลพระพรหมกันมากทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านฟังอย่างเดียว และฟังทุกเรื่อง ใคร ๆ จึงอยากจะมาระบายกับท่าน

    เดี๋ยวนี้เราพูดกันมากขึ้น แต่ฟังกันน้อยลง โทรศัพท์มือถือที่แพร่ระบาด ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเราฟังกันมากขึ้นเลย หากเป็นเพียงเครื่องมือให้เราพูดกันมากขึ้นเท่านั้น อาการแบบนี้ระบาดไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัว พ่อแม่มีเวลาฟังลูกน้อยลง ยามที่ลูกมีปัญหา แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าดู เช่น เที่ยวดึก ติดผู้หญิง หนีเรียน พ่อแม่ก็คิดแต่จะสอนลูก มากกว่าที่จะนั่งฟังว่าลูกมีปัญหาอะไรจึงทำตัวเช่นนั้น บางครั้งลูกเล่าให้ฟัง พ่อก็ตัดบทว่า “เมื่อก่อนพ่อก็เที่ยวเก่ง แต่ก็ไม่เคยก่อปัญหาอย่างเธอเลย” ส่วนแม่ก็ว่า “ตอนเด็ก ๆ แม่เชื่อฟังคุณย่าทุกอย่าง ไม่เคยดื้ออย่างเธอเลย” เจอแบบนี้เข้า ลูกก็ต้องปิดปาก พอไปโรงเรียน เจอครูแบบนี้อีก ก็เลยหันไปไปหาดีเจหรือดาราเป็นที่พึ่งแทน เพราะเขาเหล่านี้รับฟังทุกอย่าง ถึงแม้ไม่สามารถพูดกับเขาโดยตรง ก็ระบายให้รูปของเขาฟังแทน

    ครอบครัวจะน่าอยู่ โรงเรียนจะน่าไป ก็เพราะพ่อแม่และครูบาอาจารย์หัดฟังเด็ก ๆ มากขึ้น ฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ฟังด้วยหูพอเป็นพิธี เพียงเพื่อจะเอาคำพูดของเขามาเล่นงานเขาเองในภายหลัง จะฟังอย่างนี้ได้ต้องมีเมตตามาก ๆ และลดอคติให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ตัดสินล่วงหน้าหรือคิดแต่จะสอนท่าเดียว อย่าลืมว่าความดีนั้นไม่ได้เกิดจากการสอน แต่เกิดจากการเรียนรู้และรู้จักคิดด้วยตนเอง

    มาช่วยกันสร้างบ้านให้น่าอยู่ ด้วยการฟังกันให้มากขึ้น ไม่งั้นอาจลงเอยอย่างเรื่องข้างล่าง

    ลูกชายวัยรุ่นระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ

    “พ่อไม่เข้าใจผมหรอก ผมอยากเป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับ อยากมีคนเข้าใจ พูดแล้วมีคนรับฟัง ไม่ใช่เอาแต่เทศน์เอาแต่สอนอย่างเดียว พ่อเข้าใจไหม ผมอยากได้สิ่งที่บ้านนี้ไม่เคยมีให้เลย”
    ว่าแล้วลูกชายก็เดินสะพายเป้ออกจากบ้าน พ่อจึงรีบเดินเข้ามาจับไหล่
    “อย่ามาห้ามผมได้ไหม” ลูกชายบอกพ่อ

    “ใครว่าฉันห้ามแก แค่อยากขอตามไปด้วยเท่านั้นน่ะ” พ่อวิงวอน
    :- https://visalo.org/article/sarakan254609.htm


     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    มั่นคงบนวิถีธรรม
    พระไพศาล วิสาโล
    โลกนี้ต้องการคนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมากกว่าคนที่ต่อสู้เพื่อความสำเร็จ ทุกวันนี้มีคนที่ต้องการเป็นฝ่ายชนะเยอะแล้ว ทั่วทุกหนแห่งมีแต่คนที่ต้องการเป็นผู้ชนะมากกว่าคนที่ต้องการทำเพื่อความถูกต้อง เราเองก็ต้องระวัง ว่าเราทำเพื่ออะไร เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะหรือเปล่า ถ้าเราทำเพื่อต้องการจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะเราก็จะเปลี่ยนข้างได้ง่าย หรือถอนตัวได้ง่ายเมื่อไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้จะสำเร็จหรือไม่

    การทำงานเพื่อสังคม เพื่อธรรมชาติ เพื่อสิ่งแวดล้อมจะต้องมีคนคัดค้านเสมอ มีคนเสียผลประโยชน์ขัดขวางเสมอ เราก็ต้องยืนหยัด มั่นคงในความถูกต้อง แต่เราจะทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเราเชื่อมั่นว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเราไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญหรือนินทาด้วย ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม โลกธรรมคือสรรเสริญและนินทา ซึ่งไม่เที่ยงทั้งคู่ ได้ยศก็มีเสื่อมยศ ได้ลาภก็มีเสื่อมลาภ ได้รับคำชมก็ต้องมีคนด่าคนที่ต้องการเป็นผู้ชนะเขาต้องการคำสรรเสริญ สิ่งใดถ้าทำแล้วแพ้ไม่ได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ เขาก็ถอย หรือว่าถ้าทำแล้วไม่ได้รางวัล ไม่ได้ความมั่งคั่งร่ำรวยเขาก็ไม่เอา แต่สำหรับผู้ที่ยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง จะไม่เอาความสุขฝากผูกติดไว้กับสิ่งเหล่านี้ เพราะเขามีความสุขภายใน

    คนเราถ้าเอาความสุขไปผูกติดกับทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ ชีวิตก็จะโลเลไม่มั่นคง เปลี่ยนข้างเปลี่ยนฝั่งได้ง่าย ไม่สามารถที่จะยืนหยัดจนถึงที่สุดได้ แต่คนที่แม้จะถูกนินทา ถูกว่าร้าย หรือยากจน แต่ถ้าเขามีความสุขภายใน เขาก็ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ เพราะเขามีความสุขภายในเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกมาก ๆ เพื่อเข้าถึงความสุขภายใน

    อาตมานึกถึงต้นไม้ ต้นไม้ตอนที่ยังเป็นต้นกล้า เขาต้องอาศัยฝนจากฟ้า ต้องอาศัยคนรดน้ำให้ แต่พอเป็นต้นไม้ใหญ่ รากยิ่งหยั่งลึกเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมั่นคง และถ้าสามารถหยั่งรากลึกไปถึงตาน้ำใต้ดินได้ เขาก็จะเขียวสะพรั่งตลอดปี เหมือนกับต้นไม้ในเขตป่าดิบแล้งที่เขียวตลอดปีอย่างต้นไม้ที่ภูหลง ซ้ายมือของพวกเรา ที่เขียวตลอดปีได้ก็เพราะว่าเขาสามารถหยั่งรากลึกไปถึงน้ำใต้ดินได้ แต่ถ้าเป็นต้นไม้อื่นที่รอฝนจากฟ้า รอคนรดน้ำ ป่านนี้ก็เหลืองแห้งไปหมดหรือตายไปแล้ว เหมือนกับต้นไม้ที่เราเห็นสองข้างทางขณะที่เดินธรรมยาตรา มีต้นไม้จำนวนมากแห้งตาย ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก แต่ต้นไม้จำนวนหนึ่งยังเขียวอยู่ ทนแล้งได้ แม้ฝนไม่ตกก็ยังเขียวได้

    ขอให้เราเป็นเช่นนั้น คือสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้แม้ว่าสิ่งแวดล้อมจะไม่เป็นใจ เพราะเราสามารถเข้าถึงต้นธารแห่งความสุข ต้นธารแห่งความสุขหรือตาน้ำแห่งความสุขนี้อยู่ในใจเรา ในป่ามีตาน้ำซึ่งเป็นต้นธารของลำห้วย ลำปะทาวและแม่น้ำทั้งปวง ทั้งปิงวังยมน่านก็เกิดจากตาน้ำเล็กๆ ในป่า ในป่ามีตาน้ำ ในใจเราก็มีตาน้ำเหมือนกัน อันเป็นที่มาแห่งความสุขที่เราต้องหยั่งลงไปให้ถึง ถ้าเราหยั่งถึงได้เราก็จะมีความสุข แม้ว่าผู้คนจะไม่เข้าใจเราก็ตาม เมื่อใจเราหยั่งลึกเราก็จะรู้ว่าคุณค่าของชีวิตหรือชีวิตที่ดี ไม่ใช่หมายถึงชีวิตที่ยืนยาว

    คนมักจะเข้าใจว่าชีวิตที่ดี คือชีวิตที่มีอายุยืน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตที่ยืนยาว คือชีวิตที่มีทั้งความกว้างและความลึก ชีวิตยืนยาวอย่างเดียวไม่พอ ต้องกว้างด้วย กว้างคือมีน้ำใจกว้างขวาง เห็นผู้คนเป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้เห็นเป็นศัตรู มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อสรรพสัตว์ นอกจากกว้างแล้วก็ต้องลึกด้วย คือมีความลุ่มลึกทางจิตใจ สามารถจะเข้าถึงความสุขภายในที่อยู่ในจิตใจของเราได้ ถ้ากว้างและลึกแล้ว แม้ชีวิตจะสั้นก็ไม่มีความหมาย

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีชีวิตวันเดียว แต่อยู่อย่างบัณฑิต มีค่ากว่าการอยู่อย่างอายุยืนยาวเป็นร้อยปี แต่ว่าไม่ได้ทำความดีอะไรเลย เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย อย่างพวกเราหลายคนก็ไม่สามารถจะมาถึงตรงนี้ได้ แต่ว่าสิ่งที่เขาได้ทำขณะที่อยู่ขบวนธรรมยาตรา อาจจะประทับใจเราไปนาน เพราะเขามีน้ำใจ เขาเสียสละ เขานึกถึงผู้อื่น เขายอมลำบากเพื่อเรา อย่างนี้เรียกว่าเขามีความกว้างในจิตใจ และที่เขาทำเช่นนี้ได้ ก็มักเป็นเพราะเขามีความลุ่มลึกในจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะเดินได้แค่วันสองวัน เขาอาจจะทิ้ง รอยเท้าไว้บนเส้นทางธรรมยาตราแค่ช่วงสั้นๆ แต่เขาได้ทิ้งรอยประทับไว้ในใจเรา ก่อให้เกิดความซาบซึ้งใจ อาจจะมากกว่าหลายคนที่เดินตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย แต่ถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง ใจคับแคบ การเดิน ๗-๘วัน ก็มีความหมายน้อยกว่าการเดินเพียงวันเดียว แต่ว่าเต็มไปด้วยน้ำใจ และมากด้วยมิตรภาพ

    เส้นทางชีวิตของเรา จะยาวหรือจะสั้น ไม่มีใครตอบได้ เหมือนกับที่เราได้พูดไปแล้วเมื่อวานว่า ชีวิตของเรานั้นเหมือนกับเทียน เราไม่มีทางรู้หรอกว่า เทียนเล่มนี้จะไหม้จนหมดเชื้อ หรือว่าโดนลมพัดดับไปเสียก่อนทั้ง ๆ ที่ยังมีเชื้อและไขเทียนอยู่ แต่แม้จะเป็นอย่างหลังก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ขณะที่ยังมีเปลวไฟอยู่นั้น เขาให้ความสว่างไสวแค่ไหน หรือเขากลัวว่าเทียนจะหมดเชื้อหมดไขเสียก่อน เลยส่องสว่างน้อยๆ นิดๆ คนที่ไม่กลัวว่าชีวิตจะสั้นแค่ไหน เขาก็เหมือนเทียนที่พร้อมจะให้เปลวไฟสว่างไสว แม้ว่านั่นจะทำให้อายุของเทียนสั้นลงก็ตาม อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากไว้

    การที่เราสามารถยืนหยัดอย่างถูกต้องได้ นอกจากเป็นเพราะมีความสุขภายในเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เราต้องมีภูมิต้านทานความทุกข์ด้วย คนเราจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง ต้องมีภูมิต้านทานความทุกข์ เพราะคนเรานั้นหนีทุกข์ไม่พ้น ไม่ว่าเราจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี หรือพ่อแม่มั่งคั่งร่ำรวย ก็หนีความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่พ้น หนีความพลัดพรากสูญเสียไม่พ้น อีกทั้งยังต้องประสบกับการติฉินนินทา การว่าร้าย เราจะมีความสุขภายในและยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องได้ จึงต้องมีภูมิต้านทานความทุกข์ด้วย

    ภูมิต้านทานความทุกข์มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่เราเจอความทุกข์บ่อยๆ เจอความลำบากบ่อยๆ มันเหมือนกับคนที่มีภูมิต้านทานเชื้อโรค ถามว่าภูมิต้านทานนี้มาจากไหน ก็เพราะเขาเจอเชื้อโรคบ่อยๆ อย่างเด็กชาวบ้านตัวเล็กๆ เขาเล่นดิน คลุกฝุ่น เขาเล่นน้ำ น้ำเข้าปากเขาไม่รู้เท่าไหร่ บางทีน้ำคลองสีดำเข้าปากไป ก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าคนเมืองเดี๋ยวนี้เป็นโรคมือเท้าปากกันมาก เป็นโรคแปลก ๆเยอะแยะเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่มีภูมิต้านทานโรค เพราะอยู่กับความสะอาดเกินไป ขณะที่เด็กชนบทหรือเด็กสลัม เขาไม่ค่อยเป็นโรคพวกนี้เท่าไหร่ เพราะเขาเจอเชื้อโรคมาตั้งแต่เล็ก จึงมีภูมิต้านทานโรค พวกเราก็เหมือนกัน เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไป เราก็มีภูมิต้านทานโรค วัณโรค ปอดบวม อหิวาต์ จึงทำอะไรไม่ได้ ทำไมภูมิต้านทานจึงเกิดขึ้นได้ วัคซีนคืออะไร ก็คือเชื้อโรคอ่อนๆ นั่นเอง ร่างกายเราต้องเจอเชื้อโรค ถึงจะมีภูมิต้านทานโรค

    ฉันใดก็ฉันนั้นเราต้องเจอความยากลำบาก ถึงจะมีภูมิต้านทานความยากลำบาก ต้องเจอความทุกข์ ถึงจะมีภูมิต้านทานความทุกข์ คนที่พยายามหนีความทุกข์ตลอดเวลา เขาไม่รู้หรอกว่ากำลังพาตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยง คือไม่มีภูมิต้านทานความทุกข์ หรือมีน้อย ฉะนั้นเราอย่ากลัวความยากลำบาก บางทีต้องเข้าหาด้วย เพื่อสร้างสมภูมิต้านทานความทุกข์ หวังว่าธรรมยาตราจะมีส่วนช่วยเพิ่มภูมิต้านทานความทุกข์ให้กับเราด้วย เป็นภูมิต้านทานความยากลำบาก อันนี้คือต้นทุนสำคัญ อย่ารู้สึกว่าขาดทุนที่เจอความลำบาก ให้ถือว่านี่เป็นกำไร เพื่อนเขาจะใช้เวลาช่วงนี้ไปเที่ยว ก็เป็นเรื่องของเขา เราใช้เวลาในช่วงนี้มาเจอความยากลำบาก แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะมีภูมิต้านทานความทุกข์ ซึ่งจะช่วยให้เราเป็นคนสุขง่าย มีความสุขจากภายใน อีกทั้งยังทำให้เราสามารถที่จะมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้อง และยืนหยัดไปจนถึงที่สุดได้
    :- https://visalo.org/article/komol255501.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขเหนือสุข
    พระไพศาล วิสาโล

    พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องทุกข์ไว้เยอะมาก ในบทสวดมนต์ตอนเช้าก็มีการสาธยายถึงความทุกข์ค่อนข้างเยอะ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าพุทธศาสนาชื่นชอบความทุกข์อย่างที่มีคนบอกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ในฝ่ายทุกข์นิยม การที่พระพุทธองค์ตรัสถึงทุกข์อยู่บ่อยๆ ก็เพื่อให้รู้จักทุกข์ตามที่เป็นจริง จะได้เกี่ยวข้องกับทุกข์อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ผาสุก

    พระพุทธองค์ตรัสว่าเราควรเกี่ยวข้องกับทุกข์และสุขให้ถูกต้อง ข้อหนึ่งก็คือไม่ไปเอาความทุกข์มาซ้ำเติมหรือทับถมตนเอง เช่น ถ้ามีเงินก็ไม่ควรอยู่อย่างยากลำบาก หรือตระหนี่ถี่เหนียว พระองค์ไม่สรรเสริญด้วยซ้ำคนซึ่งเป็นเศรษฐีแต่กินข้าวปลายหัก ใส่เสื้อผ้าปุปะ อยู่อย่างระกำลำบาก อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเอาความทุกข์มาทับถมตน เมื่อมีเงินก็ควรจะเลี้ยงตนให้เป็นสุข รวมทั้งดูแลครอบครัวและบริษัทบริวารให้มีความสุข รวมทั้งเกื้อกูลผู้อื่นด้วย

    ความสุขที่ว่าจะหมายถึงกามสุขด้วยก็ได้ กามสุขคือสุขจากการได้เสพสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนี้เรียกว่ากามสุข จะเรียกว่าสุขจากสิ่งเสพสิ่งบริโภค หรือสุขจากวัตถุก็ได้ พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธกามสุข แต่ว่าจะต้องเป็นสุขที่ได้มาโดยชอบธรรม คือ ไม่ได้ไปโกงหรือเอาเปรียบเขา และเมื่อได้มาแล้วก็ใช้หรือเสพให้เป็น ถ้ามีแต่เก็บไว้ไม่ใช้เลย ก็ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อใช้แล้วก็ต้องระวังอย่าไปยึดติด อย่าไปยึดติดในกามสุขเพราะว่ากามสุขนั้นเจือไปด้วยโทษ มันเหมือนกับคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าแห้ง มันให้แสงสว่างก็จริง แต่ก็มีควันมาก ทำให้ระคายเคืองหรืออาจสำลักได้ ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็น มันก็ทำร้ายเราได้

    พระองค์ตรัสถึงคนที่ติดในกามสุขว่าเปรียบเสมือนกวางที่ติดใจในทุ่งหญ้าที่เขียวขจี กินหญ้าอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งถูกพรานซึ่งแอบซุ่มอยู่ยิงเอา ความเพลิดเพลินในกามสุขก็ทำให้ประมาทมองไม่เห็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัว แต่ถ้าไม่ยึดติดกามสุข ไม่หลงใหลเพลิดเพลิน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ดังนั้น กามสุขจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่พุทธศาสนาปฏิเสธ พระพุทธองค์เองก็ได้รับความสุขชนิดนี้พอสมควร เช่น มีคนถวายอาหารหรือจีวรที่ประณีตให้ มีเสนาสนะที่สะดวกสบาย อันนี้ก็จัดเป็นกามสุข แต่ว่าพระองค์ไม่ติด พระองค์เคยตรัสว่า ถ้าเปรียบเทียบกับพระสาวกหลายๆ ท่านแล้ว พระองค์อยู่สุขสบายกว่ามาก มีสาวกบางท่านอยู่ด้วยจีวรที่ได้มาจากผ้าบังสุกุล คือผ้าห่อศพ บางท่านก็ฉันแต่อาหารที่ได้จากบิณฑบาตอย่างเดียว เรียกว่าเคร่งในธุดงควัตรมาก แต่พระองค์ไม่ได้มีวัตรอย่างนั้น บางครั้งทรงฉันอาหารที่ประณีต ครองจีวรที่ทำด้วยผ้าเนื้อดี ถ้าหากดูกันที่ความเคร่งแล้ว มีพระสาวกหลายท่าน เช่น พระมหากัสสปะ ที่เคร่งกว่าพระองค์มาก แต่สาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงได้รับความเคารพจากพระสาวกทั้งหลายก็เพราะพระองค์ทรงบรรลุคุณวิเศษ มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่จนเป็นอิสระจากความทุกข์สิ้นเชิง อีกทั้งยังสามารถสอนผู้คนให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

    สรุปก็คือกามสุขมิใช่สิ่งที่ต้องปฏิเสธ ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ได้มาชอบธรรมก็ควรจะใช้ประโยชน์ แต่ก็อย่าไปยึดติด เพราะว่ามันมีโทษ เช่น ไม่เที่ยง และเจือไปด้วยทุกข์ อย่างไรก็ตามการจะเห็นโทษของกามสุขอย่างเดียวเท่านั้นย่อมไม่พอ เพราะว่ายังไม่ช่วยให้เราปล่อยวางกามสุขได้ คือทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นโทษ แต่ก็ยังเข้าหามันอยู่ พระพุทธองค์ทรงอุปมาอุปมัยว่าเหมือนกับคนที่เดินกลางแดดมาทั้งวัน กระหายน้ำ คอแห้ง ถ้าเจอเหยือกน้ำอยู่ข้างหน้า ข้างในเป็นน้ำสีสวย รสอร่อย แม้มีคนเตือนว่าน้ำมีพิษ กินแล้วตายได้ แต่คนที่หิวมากๆ เขาไม่ฟังหรอก ขอดื่มดับกระหายก่อน เพราะความกระหายมันเป็นความทุกข์เฉพาะหน้าที่ต้องการดับให้ได้ พอดับกระหายแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมาก็เป็นเรื่องอนาคต คนเรามักจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจผลที่ตามมา
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ในทำนองเดียวกันแม้จะรู้ว่ากามสุขเป็นโทษ แต่ความรู้อย่างเดียวไม่ทำให้เราห่างไกลจากมันได้ ตราบใดที่ใจยังโหยหาความสุขอยู่ จะเหินห่างจากมันได้ก็ต่อเมื่อมีความสุขอย่างอื่นที่ประณีตกว่าเข้ามาแทนที่ ความสุขอันนี้ได้แก่อะไร ได้แก่ เนกขัมสุข คือ สุขจากการปลอดโปร่งจากกาม สุขชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ ทีแรกเราก็ต้องว่างเว้นจากกามก่อน หรือเสพให้น้อยลง ใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตขาดรสชาติ แต่ต่อไปก็จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย เพราะมีเรื่องยุ่งยากน้อยลง

    กามนั้นให้ความสุขก็จริง แต่มันเต็มไปด้วยภาระมาก มันก่อให้เกิดความทุกข์หลายอย่าง ทุกข์ตั้งแต่อยากแล้ว พออยากได้ก็ต้องไปดิ้นรนแย่งชิงเอามา ต้องแข่งกันหาเงินหาทองจนเหนื่อย ในระหว่างนั้นก็ต้องมีความโกรธ มีความไม่พอใจ เพราะต้องกระทบกระทั่งกับคนอื่น เมื่อได้มาแล้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข บางครั้งก็อิจฉาคนที่ได้มากกว่า รู้สึกเป็นทุกข์ที่ตัวเองได้น้อยกว่า หรือเกิดเบื่อของเดิม อยากได้ของใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีสิ่งกระตุ้นให้เราอยากได้อยู่เรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่มี ในสิ่งที่ได้มา ยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยม จะมีการกระตุ้นให้เราอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลา ไม่ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ไม่เคยพอ ไม่สามารถซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วน ไม่เหมือนสมัยก่อน เงินไม่ค่อยมีความหมายเท่าไร เพราะว่ามีเงินก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร

    สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เขียนบันทึกเมื่อร้อยปีก่อน ว่าท่านเคยไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ขอนแก่น ตอนนั้นท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ท่านพบว่าชาวบ้านที่นั่นผลิตของเองทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่ปลูกข้าวเท่านั้น แต่ยังปลูกพืชผักสวนครัวนานาชนิด ฝ้ายก็ปลูกเพื่อปั่นด้ายทอเสื้อ ไหมก็เลี้ยง เพราะฉะนั้นชาวบ้านจึงไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรเลย ชาวบ้านมีทุกอย่างที่ต้องการ ขาดอยู่ ๒ อย่าง ไม้ขีดไฟกับมีดพร้า แค่นี้แหละที่ซื้อจากตลาด ที่เหลือทำเองได้หมด เพราะฉะนั้นชาวบ้านสมัยก่อนไม่ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ไม่ค่อยมีความหมายเพราะว่า ของที่ต้องการซื้อมีไม่กี่อย่าง ส่วนของที่จะมาขายก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนสมัยนี้ เงินจึงมีความหมายน้อยมาก ความโลภของคนก็ลดไปตามสภาพ เขาไม่สนใจอยากจะรวย หรืออยากได้เงินมาก ๆ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของคนสมัยก่อนมีความโลภน้อยกว่าคนสมัยนี้ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้จะซื้ออะไร อีกทั้งไม่มีสิ่งที่กระตุ้นความอยากหรือความโลภ แต่เดี๋ยวนี้มีเงินเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอ มีเงินร้อยล้านพันล้านก็ยังซื้อของที่ต้องการได้ไม่หมด เพราะมีของที่อยากได้เยอะแยะไปหมด เช่น ซื้อหุ้น ใครที่มีเงินมากก็อยากซื้อหุ้นเพื่อที่จะได้เงินมากขึ้น มีเงินมากขึ้นแล้วเอาไปทำอะไร ก็เอาไปซื้อหุ้นต่อ

    ทุกวันนี้มีของขายมากมายเกินกว่าจะซื้อได้หมด ดังนั้นไม่ว่าจะรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้านก็ยังรู้สึกว่ารวยไม่พอ อยากได้อีก นี้เป็นผลจากกระแสบริโภคนิยมที่มากระตุ้นให้เราไม่รู้สึกพอเสียที จึงเกิดความโลภอยู่เรื่อยๆ แม้จะได้มาสมอยากก็ยังไม่พอใจ เพราะพอผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่ามันตกรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะซื้อรุ่นไหนก็จะยังรู้สึกว่ามีรุ่นอื่นที่ดีกว่า ไม่ว่าร่างกายผิวพรรณจะงามแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่ายังงามไม่พอ ต้องดิ้นรนไปหาซื้อเครื่องประทินโฉมต่างๆ มา รวมทั้งผ่าตัดเสริมทรง มีน้อยคนที่จะพอใจในสิ่งที่มี ถึงจะพอใจแต่ก็ยังทุกข์เพราะว่ากลัวคนมาแย่ง หรือกลัวจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ยิ่งขโมยขโจรชุกชุมหรือมีการแข่งขันมาก ก็ยิ่งกังวลใจ

    นอกจากนั้นผู้คนก็ยังถูกสอนว่า ถ้าคุณไม่เดินหน้า ก็จะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คุณมีธุรกิจ ก็ต้องขยายธุรกิจ ไม่เช่นนั้นธุรกิจของคุณก็จะถูกกลืนได้ ถ้าอยู่เฉยๆ ก็จะถูกแย่งลูกค้าไป ก็ต้องขยายกิจการ ทั้งๆ ที่เราอาจจะคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ระบบมันทำให้เรารู้สึกว่าต้องขยาย ต้องดิ้นรน ไม่เช่นนั้นเราก็จะกลายเป็นปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่กลืนกิน

    นี่คือวิถีของกามสุข ที่ทำให้ผู้คนเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นหากเราสามารถห่างไกลจากการมสุขได้ก็จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย คนเราคงไม่สามารถว่างเว้นจากกามสุขไปได้หมดหรอก แต่ก็ควรเสพให้น้อยลง อย่างพวกเรามาอยู่ที่นี่ ก็มีสิ่งเสพน้อยลง ไม่ว่า สิ่งเสพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ก็ตาม ความสะดวกสบายก็ไม่ใช่ว่ามีมาก พูดง่าย ๆ คือเป็นชีวิตที่เรียบง่าย คนที่ติดกามสุขเมื่อมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะว่าไม่ได้เสพสิ่งที่เคยชอบ ภาพยนตร์ก็ไม่ได้ดู ของอร่อย ๆ ก็ไม่ได้กิน แต่พออยู่ไปสักพักก็จะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เรียบง่ายดี ไม่วุ่นวาย มีเวลาเหลือมากขึ้น ก่อนนี้เวลาไม่ค่อยเหลือนะ คนที่อยู่ในโลกแห่งกามสุข จะรู้สึกเวลามีน้อยลง ไม่ใช่เพราะเสียเวลาไปกับการแข่งขันไล่ลาหาสิ่งเสพต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น แต่ยังหมดเวลาไปกับการใช้สิ่งเสพสิ่งบริโภคด้วย คือซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ มันมีเกมมากมายติดมากับเครื่อง จะไม่เล่นเกมเลยก็กระไรอยู่ ไหน ๆ ซื้อมาแล้วก็ต้องเล่น คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน มีเกมและโปรแกรมต่างๆ ติดมามากมาย มีแล้วไม่ใช้ก็รู้สึกเสียดาย ก็เลยต้องลองเล่นดู พอเล่นก็เลยเสียเวลา

    ทุกวันนี้ผู้คนเสียเวลาไปกับการใช้หรือการบริโภคสิ่งเสพเยอะมาก รวมทั้งเสียเวลาไปกับ เลือกเฟ้นว่าจะใช้อันไหนดี เช่น มีเสื้อผ้าเยอะก็เสียเวลาไปกับการเลือกว่าใช้ตัวไหนถึงจะเหมาะกับ
    งาน มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งเป็นระดับคุณหญิง เธอเล่าว่า เวลาจะไปออกงาน พอเปิดตู้เสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้ามีมากมาย ก็ต้องมานั่งคิดว่า จะต้องใส่เสื้อสีอะไรถึงจะเข้ากับกระโปรง แล้วยังมีรองเท้าอีกมากมายให้เลือกอีก ตอนหลังก็เลยตัดสินใจว่า ต่อนี้ไป เมื่อเปิดตู้มาเห็นเสื้อตัวไหนก็ใส่ตัวนั้นเลย จะไม่มานั่งเลือกว่าจะใส่เสื้อตัวไหนดี นี่ขนาดเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ยังยอมรับว่าเสียเวลามากมายไปกับการเลือกเครื่องแต่งกาย รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้น วิธีแก้คือเห็นตัวไหนก็ใส่เลย มันทำให้ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้น นี่คือปัญหาของคนที่มีเงินเยอะ
    :- https://visalo.org/article/suksala11.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขเหนือสุข (๒)
    พระไพศาล วิสาโล

    คนเราเสียเวลาไปกับสิ่งเสพสิ่งบริโภคเยอะมาก นอกจากเสียเวลากับการหาหรือครอบครองแล้ว ยังเสียเวลากับการบริโภค มีโทรทัศน์ มี CD มี DVD มีหนังสือ ก็ต้องเสียเวลาดูเสียเวลาอ่าน ถ้าไม่อ่านก็เสียดายเงิน ที่จริง แค่จัดของให้เป็นระเบียบนี่ก็เหนื่อยแล้ว บางทีไม่มีที่จะใส่ ไม่มีที่จะวางเพราะของมันเยอะไปหมด กลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของคนในยุคบริโภคนิยม ดังนั้นพอหันมามีชีวิตเรียบง่าย มีสิ่งเสพสิ่งบริโภคน้อยลง ก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง เบาสบาย

    พอห่างไกลจากกามสุข ชีวิตก็วุ่นน้อยลง นิ่งมากขึ้น รู้สึกโปร่งเบา จะรู้สึกเลยว่าเป็นความสุขที่เย็นสบายกว่าชีวิตที่หมกมุ่นกับกามสุข ซึ่งให้ความสุขแบบรุ่มร้อน ที่จริงมันให้ความสบายมากกว่า สบายแต่วุ่นวาย แต่พอห่างไกลจากกามสุข หรือเกี่ยวข้องกับกามสุขน้อยลง พอมามีชีวิตที่เรียบง่ายก็เริ่มสัมผัสกับความสุขที่เยือกเย็น อันนี้คือเนกขัมมสุข

    ถ้าเราคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้มากขึ้น จนกระทั่งพอใจกับความสุขที่เรียบง่าย จิตใจไม่โหยหากาม ไม่ถวิลหาความสะดวกสบายหรือกามสุข ก็จะได้สุขอีกแบบหนึ่งเรียกว่า ปวิเวกสุข คือสุขอันเนื่องมาจากความสงัดจากกาม มันคล้ายๆ กับเนกขัมมสุข แต่เนกขัมมสุขหมายถึงความสุขอันเนื่องจากการที่ชีวิตไม่วุ่นวาย ไปกับการแสวงหาและบริโภคสิ่งเสพ แต่ว่าใจยังอาจถวิลหาอยู่บ้าง เช่น ถือศีลแปด แต่ใจก็ยังนึกถึงข้าวเย็น นึกถึงความบันเทิงอยู่บ้าง แม้กระนั้นก็ยังรู้สึกเป็นสุขกว่าตอนที่หมกมุ่นกับสิ่งเสพ อย่างไรก็ตามพอคุ้นเคยกับเนกขัมมสุข ใจก็เริ่มไม่ถวิลหาแล้ว พอใจกับความสุขที่เรียบง่าย อันนี้เรียกว่า ปวิเวกสุข คือ สุขจากความสงัดจากกาม

    ความสุขแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ทีแรกก็ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่สงบสงัดก่อน เรียกว่ากายวิเวก สิ่งแวดล้อมแบบนี้ไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้ามาก เราไม่ต้องไปรับรู้ว่ามีที่ไหนขายอะไร ไกลจากเสียงโฆษณา ไกลจากสิ่งยั่วยวน ต่อไปก็จะเกิดความสงบในจิตใจ เรียกว่าจิตวิเวก ก็คืออันเดียวกับปวิเวกสุขนั่นแหละ พอจิตไม่ถวิลหากาม รู้สึกพอใจในชีวิตที่เรียบง่าย จิตก็จะสงบเย็น นี้คือปวิเวกสุข

    แต่มีปวิเวกสุขแล้วก็ยังเพิ่งวางใจ เพราะว่าความสงบเย็นในจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะว่าบางครั้งชีวิตของเราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน ต้องมีงานมีการที่ต้องรับผิดชอบ ต้องออกไปเกี่ยวข้องกับผู้คน หรือไม่ผู้คนก็เข้ามาหา อย่างเช่นอยู่ที่นี่แม้จะอยู่ไกลความเจริญ ก็ยังมีผู้คนมาเยี่ยมมาเยียน หรือว่ามีเหตุให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปรับรู้ ก็อาจจะเกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวายในจิตใจได้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันจะหาที่ที่วิเวกจริงๆ เป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักรักษาใจให้สงบ แม้ว่าสิ่งแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวย มีสิ่งกระตุ้น มีสิ่งยั่วยุ หรือยั่วยวน จิตใจก็ยังสงบได้ ไม่ถูกรบกวนด้วยโลภะหรือราคะ ไม่ถูกรบกวนด้วยโทสะหรือปฏิคะ ตรงนี้ต้องอาศัยสติ สมาธิ และปัญญา เพื่อให้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายไม่สามารถกระเทือนไปถึงใจได้ มันกระทบแค่อายตนะห้า แต่ไม่กระเทือนไปถึงใจ เหมือนกับฝนตกลงมา แต่เราอยู่ในบ้านมีหลังคาแน่นหนา ฝนก็ไม่สามารถทำให้เราเปียกปอนได้

    เวลามีอะไรมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกายก็ตาม หากเรามีสติและปัญญา มันก็ไม่ทำให้ใจกระเพื่อม ฟูหรือแฟบได้ หรือปรุงเป็นกิเลสตัณหา ไม่เกิดความขัดเคืองใจเกิดขึ้น หรือถึงมีก็รู้ทัน ไม่ปล่อยให้มันลุกลาม ทำให้เกิดความสงบเย็นได้ท่ามกลางความวุ่นวาย สุขแบบนี้เรียกว่าอุปสมสุข คือสุขเพราะสงัดจากกิเลส สงัดจากกิเลสไม่ได้หมายความว่ากิเลสไม่มี กิเลสมีแต่ว่ามันไม่มารบกวน ไม่รบกวนก็เพราะว่ารู้เท่าทันกิเลส ไม่ปล่อยให้มันลุกลาม มันเกิดขึ้นก็รู้จักปล่อย รู้จักวาง มันเกิดขึ้นก็เห็นมัน ไม่เข้าไปเป็น มีแต่การเห็น ไม่เข้าไปเป็นอย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านเน้นอยู่เสมอ “เห็นแต่ไม่เข้าไปเป็น” ไม่มีผู้เป็น มีแต่การเห็นเฉยๆ ไม่มีผู้เห็น กิเลสเกิดขึ้นก็เห็นมัน จิตกระเพื่อมก็เห็นมัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้สงัดจากกิเลส กิเลสรบกวนไม่ได้ เป็นความสุขและสงบเย็น ไม่ใช่เพราะว่าเก็บตัวอยู่แต่ในที่สงบ ถึงแม้จะไปเกี่ยวข้องกับผู้คนหรือวัตถุสิ่งเสพ ใจก็ไม่เพลิดเพลินหลงใหล ไม่ไปย้อมติด เพราะมีปัญญาที่รู้ทันความไม่เที่ยงหรือความแปรปรวนของสิ่งต่าง ๆ เรียกว่ามีปัญญารู้เท่าทันโลกธรรม มีปัญญาเห็นโทษของกาม ถึงตอนนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องก็ไม่ย้อมติด เมื่อไม่ย้อมติด ความชอบความชัง หรือความเพลินใจเวลาได้ หรือทุกข์ใจเวลาเสีย ก็ไม่เกิดขึ้น เหมือนกับที่บางคนพูดสรุปว่า “ยามรุ่งก็สงบ ยามจบก็พร้อมจาก” ไม่ว่ามีหรือเสีย ไม่ว่าพบหรือพราก ไม่ว่าเจอหรือจาก จิตใจก็สงบนิ่งเป็นปกติ เพราะมีสติและปัญญา

    อันนี้เรียกว่า อุปสมสุข สุขเพราะสงัดจากกิเลส แต่ว่ายังมีกิเลสอยู่ จนกว่าจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างแท้จริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น นอกจากจะไม่เที่ยงแล้วยังเป็นทุกข์ แม้ดูเหมือนจะเป็นสุขแต่แฝงไปด้วยทุกข์ ที่จริงมันไม่ใช่เจือไปด้วยทุกข์เท่านั้น แต่มันคือทุกข์ล้วนๆ เจือไปด้วยทุกข์ หมายว่ายังมีสุข อาจจะสุข 40% ทุกข์ 60% แต่ว่าพอมีปัญญาจนกระทั่งเห็นว่ามันทุกข์ล้วนๆ มันเป็นตัวทุกข์ หมายถึงว่ามันอยู่ภายใต้การบีบคั้นตัวตลอดเวลา ถูกสิ่งอื่นบีบคั้น อีกทั้งยังมีการบีบคั้นภายในตัวมันเอง จึงอยู่ในสภาวะที่ ไม่สามารถจะคงตัวหรือทรงตัวได้เลย ก็จะปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง เพราะเห็นชัดว่าแม้แต่จิตก็ไม่น่ายึดถือ และไม่สามารถยึดถือได้
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    แต่ก่อนอาจจะคิดว่า อยากจะให้จิตมีความสุข แต่พอรู้ว่ามันเป็นทุกข์ล้วนๆ ความคาดหวังจะให้มันสุขก็หมดไป อย่างนี้เรียกว่า เกิดการปล่อยวางอย่างแท้จริง พอปล่อยวางไว้อย่างแท้จริง ก็หมายความว่า ความผันผวนปรวนแปรต่างๆ ไม่ว่าเกิดขึ้นกับโลกภายนอกหรือภายใน ก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว อันนี้ก็เรียกว่า เป็นสุขได้เหมือนกัน เป็นสุขที่เกิดจากการเข้าใจสัจธรรมอย่างแท้จริง เห็นว่ามันเป็นทุกข์ล้วนๆ ที่ไม่น่ายึดถือได้เลยสักอย่าง สุขอย่างนี้ท่านเรียกว่าสัมโพธิสุข สุขจากการรู้แจ้ง ถึงตอนนี้กิเลสก็หมดไป ไม่มีเหลือ ตัณหาหมดไปเพราะไม่มีความอยากที่จะให้สิ่งต่างๆ เป็นสุข หรือแม้แต่จะให้จิตเป็นสุข เพราะว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ยอมจำนนต่อความจริง ก็เกิดปัญญา เป็นสัมโพธิสุข สุขจากการรู้แจ้ง เป็นสุขเหนือสุข คือเหนือความสุขทั้งหลายที่เข้าใจกัน เป็นสุขในความหมายที่ว่าความทุกข์ทั้งหลายไม่สามารถจะเข้ามาทำอะไรได้

    สุขอย่างนี้เป็นสุขจากการปล่อยวางแม้กระทั่งความคิดว่ามีตัวตน เป็นภาวะที่เหนือสุขเหนือทุกข์เพราะถ้ายังมีสุขอย่างที่เราเข้าใจ ก็ยังมีทุกข์อยู่ เนื่องจากสุขกับทุกข์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันแยกจากกันไม่ได้ เหมือนกับหน้ามือกับหลังมือ ถ้าต้องการอย่างหนึ่งแต่ปฏิเสธอีกอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ ใครที่บอกว่าฉันจะเอาสุขอย่างเดียว ฉันไม่เอาทุกข์เลย ก็เหมือนกับพูดว่าฉันจะเอาฝ่ามืออย่างเดียว ไม่เอาหลังมือเลย มันเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าไม่มีมือเลย พอไม่มีมือเลย ก็ไม่มีหลังมือ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าหมดทุกข์อย่างแท้จริง ไม่มีมือคืออะไร คือไม่มีตัวตนที่จะให้ยึดถือ แม้แต่จิตก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดถือได้ มันว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าเป็น สุญญตา คือไม่มีตัวตนให้ยึดถือหรือให้คาดหวังว่ามันจะเป็นสุขอีกต่อไป เมื่อไม่มีตัวตน ก็ไม่มีอะไรที่ความทุกข์จะเข้ามากระทบได้ คือมีแต่ความทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ อันนี้ก็เหมือนกับที่ท่านเว่ยหล่าง สังฆปริณายกนิกายเซ็นในจีน ท่านเปรียบว่า ถ้าไม่มีกระจกแล้วฝุ่นหรือธุลีจะมาเกาะได้อย่างไร ก่อนหน้านั้นคนก็ยังเชื่อว่าจิตเหมือนกับกระจกที่ต้องขัดอยู่เสมอเพราะว่ามีฝุ่นมาเกาะ หยุดขัดเมื่อไรฝุ่นก็จะจับจนหนา จึงต้องทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ นอกจากนั้นถ้าคิดว่าจิตเป็นกระจกมันก็มีความเสี่ยงนะ เพราะนอกจากฝุ่นแล้ว ยังต้องระวังไม่ให้อะไรอย่างอื่นมากระทบด้วย เช่น หินหรือก้อนกรวด ถ้ามันตกลงมาถูกกระจกก็แตกร้าวได้ แต่ถ้าจิตไม่มีตัวตนเลย เหมือนกับไม่มีกระจก ฝุ่นก็ไม่รู้จะไปเกาะที่ไหน ก้อนหินตกลงมาก็ไม่ทำให้อะไรแตกได้ เพราะไม่มีกระจกมารองรับก้อนหินนั้น

    จิตว่างเปล่าจากตัวตน ก็เปรียบเหมือนไม่มีกระจก จึงไม่จำเป็นต้องคอยเช็ดฝุ่นหรือคอยระแวดระวังไม่ให้หินมากระแทบ เมื่อไม่มีอะไรแตก ก็หมายถึงไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น อันนี้แหละก็คือสภาวะที่เรียกว่าไร้ทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์ ก็เป็นสุขโดยปริยาย เป็นสุขเหนือสุข เป็นสัมโพธิสุข นี้คืออุดมคติที่ชาวพุทธควรไปให้ถึง ที่จริงพูดว่าไปให้ถึงก็ไม่ถูก เพราะทำให้เข้าใจว่ามันอยู่นอกตัวหรืออยู่ข้างหน้า แต่ที่จริง ท่านผู้รู้บอกว่ามันอยู่ต่อหน้าเราอยู่แล้ว มันอยู่ในใจเราด้วยซ้ำ แต่ว่าเรามองไม่เห็นเองต่างหาก เราไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำเพราะถูกความหลงครอบงำ มันเหมือนกับสิ่งบังตาเรา อันนี้แหละคือ ความสุขที่พุทธศาสนาไม่ปฏิเสธ

    พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งความทุกข์ แต่เป็นศาสนาที่เชิญชวนให้คนเข้าถึงความสุขที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป จากกามสุขสู่เนกขัมมสุข จากเนกขัมมสุขไปสู่ปวิเวกสุข จากปวิเวกสุขก็ไปสู่สัมโพธิสุข สามประการหลังนี้เราจะเรียกว่า นิรามิสุขก็ได้ กามสุขคือสุขที่เจือด้วยอามิส เป็นอามิสสุข แต่ว่ายังมีสุขที่เหนือกว่านั้น พุทธองค์ไม่ได้ปฏิเสธกามสุข แต่ทรงห็นว่ามีสุขที่ประณีตกว่า อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้วสุขเหล่านี้มิใช่สิ่งที่เราควรมุ่งหวังหรือยึดติดได้แม้แต่อย่างเดียว แต่จะเกิดขึ้นได้ก็จากการปล่อยวาง เมื่อปล่อยวาง เมื่อไม่โหยหาความสุข ความสุขก็บังเกิดขึ้น แต่ถ้าโหยหาเมื่อไรก็ยังแสดงว่ามีกิเลสอยู่ กิเลสนี้เองที่เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความสุขได้

    การปฏิบัติตลอดจนวิถีชีวิตที่พระองค์ได้ทรงวางเอาไว้ กล่าวคือ การดำเนินชีวิตตามหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อพาเราเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย เหมือนกับว่าเราล่องเรือไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ความจริงในโลกนี้ก็เหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว เราก็เหมือนกับคนที่ล่องแพ เราล่องไปตามกระแสน้ำก็จริงแต่ก็ต้องระวังว่าอย่าไปชนกับเกาะแก่ง เพราะฉะนั้นจะปล่อยชีวิตไปตามกระแสหรือตามยถากรรมไม่ได้ ต้องมีความใส่ใจไม่ประมาท ต้องพยายามคัดท้ายแพเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง โดยไม่เกยตื้นหรือชนกับเกาะแก่งเสียก่อน ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็ไปถึงทะเล ท่านเปรียบทะเลเหมือนกับนิพพาน แม่น้ำทุกสายล้วนไหลสู่ทะเลฉันใด ชีวิตที่ประเสริฐก็มุ่งไปสู่นิพพานฉันนั้น แต่ถึงแม้เราจะไม่ปรารถนานิพพาน ก็ยังจำเป็นอยู่เองที่จะต้องนำพาชีวิตให้แคล้วคลาดจากเกาะแก่งทั้งหลาย เพื่อเข้าถึงความสุขที่ประเสริฐ เพราะนี้คือรางวัลอันล้ำค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์
    :- https://visalo.org/article/suksala12.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    โลกที่แท้จริงมีอยู่ในใจ
    พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช
    เห็นเขาพูดเรื่องโลกใบที่ ๒ มันคืออะไร ใครบางคนอยากมีโลกใบที่ ๒ ฟังแล้วก็อาจจะงง ทำไมต้องมีโลกใบที่ ๒ ด้วย
    จริง ๆ แล้ว โลกที่เป็นดวงดาวที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ดวงนี้ ตอนนี้ก็มีเพียงโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่นี้โลกเดียว มีดวงจันทร์เป็นบริวาร ๑ ดวง


    แต่ถ้าเป็นโลกในใจของคน มันก็มีได้หลายโลกหลายใบอยู่นะ ไม่ใช่มีแค่โลกเดียวใบเดียว หรือมีแค่โลกใบที่ ๒ แต่ยังมีโลกใบที่ ๓, ๔, ๕ อีกหลายโลกเยอะแยะเลย เช่น
    .
    โลกของคนชั่วก็มีแต่คนชั่วอยู่ด้วยกัน
    โลกของคนโง่ โลกของคนโกง โลกของคนพาล โลกของคนเนรคุณ โลกของคนเห็นแก่ตัว


    โลกของคนดีก็มีแต่คนดีอยู่ด้วยกัน โลกของฉลาด โลกของคนซื่อสัตย์ โลกของบัณฑิต โลกของคนกตัญญู โลกของคนเสียสละ
    ในคน ๆ เดียว ก็มีโลกได้หลายใบ ใครอยากได้โลกแบบไหน ก็พาตัวเองเข้าไปอยู่กับโลกใบนั้น ทำตัวให้เป็นแบบนั้น ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทำทุกวัน ทำให้ชำนาญ เดี๋ยวก็สำเร็จเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน
    ธรรมท่านสอนว่า คนเราเข้ากันได้ ลงกันได้โดยความเป็นธาตุ คือมีกิริยาอาการจริตนิสัยเป็นไปในทิศทางเดียวกันนั่นเอง ถ้าจริตนิสัยต่างกัน ธาตุไม่ลงกัน ก็คบหากันไปได้ไม่นาน ถ้าภาษาสมัยใหม่ก็เรียกว่า เคมีไม่เข้ากัน ก็อยู่ด้วยกันไปไม่นาน ก็จะแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เห็นเอง
    .
    ดังนั้น ที่คู่รักต้องแยกทางจากกันไปก็เพราะธาตุไม่ลงกันนี่แหละ มันก็เป็นของเป็นเองตามธรรมชาติ บางอย่างก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วที่ทั้งสองคนทำมาด้วยกัน ถ้าพูดภาษาธรรมก็ว่า ภูมิจิตภูมิธรรมสูงต่ำไม่เท่ากัน หรือจะพูดตามสำนวนสมัยใหม่ว่า ศีลไม่เสมอกันก็แล้วแต่จะพูด
    .
    แต่เราไม่อยากจะพูดว่า มีศีลไม่เสมอกัน เพราะว่า ลำพังจะหาคนมีศีล ๕ จริง ๆ ได้สักคนหนึ่ง ก็หายากมากแล้ว ถ้าใครมีคู่รักที่มีศีลเสมอกันได้ ก็นับว่าโชคดีมาก ดีกว่าคนที่มีคู่ครองเป็นเศรษฐีร้อยล้าน พันล้าน แต่หาศีลไม่ได้สักตัว
    .
    คนที่ไม่มีศีลมาอยู่ด้วยกัน มันก็น้อง ๆ เหมือนตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ ต่อให้เป็นเศรษฐีหมื่นล้านก็ตาม เพราะเงินมากเท่าไหร่ก็หาซื้อความสุขไม่ได้ แต่ถ้าคู่ครองมีศีล ๕ นี่นะ! ครอบครัวจะมีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุขไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว เพราะคนใกล้เคียงก็จะเป็นคนดีทั้งหมด ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ก็จะดีไปด้วยกัน มีลูกก็จะได้ลูกดีด้วย
    แต่ถ้าได้คนทุศีลมาอยู่ด้วยกัน มันก็เป็นตรงข้าม บริวาร สิ่งแวดล้อมก็จะเลวไปตาม ๆ กัน ใครอยากรู้ว่า นรกมีจริงไหม ก็ทดลองไปใช้ชีวิตอยู่กับคนทุศีลดูก็ได้ จะได้ตกนรก ทั้งขุมเล็กขุมน้อยขุมใหญ่ที่เขาขยันสร้างขึ้นทุกวันตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันนั่นแหละ
    .
    ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ไหวจริง ๆ เพราะภูมิจิตภูมิธรรมมันสูงต่ำไม่เท่ากัน ธาตุมันไม่ลงกัน ก็ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นตัวเองให้หมักหมมอยู่กับของที่ไม่ดี ก็แค่เปิดประตูก้าวออกมาสู่โลกใบใหม่เท่านั้นเอง อดีตมันผิดพลาดไปแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องเก็บเอามาคิดให้ใจขุ่นมัว
    .
    ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เราเลือกชีวิตเราได้เอง อย่าให้ใครมาบงการ อยากอยู่กับโลกใบไหนก็เลือกเอาเลย ไม่มีใครแก่เกินทำความดี ไม่มีคำว่าสาย สำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำความดี ทำได้ตลอดเวลา
    ทำใจเราให้ดีก่อน อย่าไปเสียใจกับอดีตที่ไม่ดี ปล่อยให้มันผ่านไป เพราะไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าใจไปนึกถึงมันก็จะเป็นเหตุทำให้ทุกข์ใจเปล่า ๆ เก็บมันไว้เป็นบทเรียนสอนใจว่า อย่าทำผิดซ้ำสองอีก และไม่ต้องไปคาดหวังอนาคตว่า จะต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างโน้น
    ขอเพียงแค่ทำวันนี้ให้ดีก็พอ ด้วยการคิดดี ทำดี พูดดี ทำได้ทุกวัน ทำได้ทันที ทำวันนี้ก็เห็นผลวันนี้ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ว่าจะทำก็ลงมือทำทันทีเลย ให้มีสัจจะกับตัวเอง ต้องเคารพตัวเอง ถ้าเรายังไม่เคารพตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นใครมาเคารพเราได้ล่ะ!!
    .
    ถ้าเราเคารพตัวเอง เราก็ต้องทำตัวเองให้เป็นคนดีให้ได้ก่อน ให้เป็นคนน่าเคารพน่านับถือ ให้เกิดความภาคภูมิใจในความดีของตัวเองก่อน มันถึงจะเรียกว่า เราเคารพตัวเอง
    .
    เมื่อคนอื่นเห็นความดีของเราแล้ว เขาก็จะเคารพเราเช่นกัน ถ้าตัวเรามีแต่ความชั่วช้าเลวทราม ตัวเราก็ไม่เคารพเรา ดีไม่ดีก็รังเกียจตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นมาเคารพเราได้อย่างไร
    ถ้าคู่รักต่างคนต่างแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดี ทำกรรมดีต่อกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน พูดจากันด้วยเหตุด้วยผล ใครผิดก็ยอมรับผิด ไม่ถือรั้นเอาแต่ใจตนเอง ก็จะอยู่กันไปได้ตลอดรอดฝั่งยืนยาว

     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งเห็นแก่ตัว ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยอมรับ ไม่พอใจในความมีความเป็นของตัวเอง ก็ต้องไปทำเรื่องที่ไม่ดีติดตามมา ถ้าถึงขั้นทำผิดศีลผิดธรรม หนักเข้าก็จะเป็นเหตุให้หย่าร้างเลิกรากันไป อันนี้ก็แล้วแต่กรรมของทั้งสองคน
    .
    ถ้าจากกันด้วยดี ก็ถือว่ายังดี แต่บางคู่อาจเลวร้ายกว่านั้น เพราะทำเลวเกินพิกัดที่จะยอมกันได้ มีการทะเลาะวิวาทบาดหมางกันรุนแรง ก็ต้องมีคดีความฟ้องร้องกันตามมา ก็เป็นกรรมอีกเหมือนกัน ก็ว่ากันไปตามที่เห็นสมควร
    .
    การเลือกคู่ครองจึงต้องใช้สุภาษิต ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อย่าไปใช้สุภาษิต น้ำขึ้นให้รีบตัก ต้องใจเย็น ๆ ดูกันไปให้ถึงธาตุแท้ของกันและกัน ดูกันไปนาน ๆ ให้ทะลุความสวยความงามที่เป็นฉากหน้าปกปิดความจริงเอาไว้
    .
    ถ้าเอาความสวยงามออกแล้ว ยังรักกันได้ ไม่รังเกียจกัน ยังคงเห็นอกเห็นใจกัน แสดงว่า ต่างคนต่างใจดีใช้ได้ในระดับหนึ่ง
    .
    ถ้าเอาฐานะความร่ำรวย ความมีชื่อเสียงเกียรติยศออกไปด้วย หากยังรักกันได้ อยู่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้ ก็ดีเยี่ยมแล้ว ถ้าใครได้คู่ครองเช่นนี้ ก็นับเป็นบุญวาสนาเกื้อกูลกันมาดีมาก
    แต่ถ้าใครไม่ได้ไม่มี ก็ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ให้พอใจตามที่ตนมีตนได้ ไม่มีก็พอใจตามที่มันไม่มี ค่อย ๆ ทำมาหาได้ในทางที่ชอบ ก็ถือเป็นความสันโดษ ในธรรมท่านสอนว่า ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่งแล้ว
    .
    ให้สอนใจคิดว่า กรรมของเราเป็นอย่างนี้ ก็ยอมรับตามกรรมอย่างนี้ ชดใช้กรรมไปเสียก็แล้วกัน ค่อย ๆ หาเอาใหม่ ถ้าหาคนดีกว่าตน หรือเสมอตนไม่ได้ ธรรมท่านสอน ให้อยู่คนเดียวนั่นแหละ ดีที่สุด ไม่ต้องมีไฟนรกมาเผาใจจากการอยู่ร่วมกับคนพาล
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/โลกที่แท้จริงมีอยู่ในใจ.html
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    เปิดเล่ม 3
    พระไพศาล วิสาโล
    มีเรื่องเล่าว่ามีหญิงชราชาวจีนคนหนึ่ง นับถือศาสนาพุทธ นิกายสุขาวดี ซึ่งเน้นที่การสวดหรือสาธยายพระนามของพระอมิตาภะ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง สวดแต่ละทีนานนับชั่วโมง วันหนึ่งขณะที่สวดมนต์อยู่ก็มีเพื่อนบ้านมาเรียกที่หน้าบ้าน “คุณลี คุณลี” แต่ไม่มีเสียงตอบจากเธอ เพราะกำลังง่วนอยู่กับการสวด เพื่อนบ้านก็ส่งเสียงเรียกดังขึ้น ที่จริงเธอได้ยินแล้ว แต่ไม่สนใจ พอเพื่อนบ้านส่งเสียงดังขึ้น เธอเริ่มหงุดหงิด แต่ก็ยังสวดต่อไป เพื่อนบ้านไม่เห็นหญิงชราออกมาสักที ก็เลยตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นอีก สุดท้ายหญิงชราคนนี้เกิดหัวเสียขึ้นมา รู้สึกโกรธที่เขาส่งเสียงรบกวนการสวดมนต์ จึงหยุดสวดมนต์ แล้วชะโงกไปที่หน้าต่าง ตะโกนดังลั่นว่า “คุณต้องการอะไร ไม่รู้หรือว่าฉันกำลังสวดมนต์ เอ่ยพระนามพระอมิตาภะ” เพื่อนบ้านตกใจที่เธอระบายอารมณ์ใส่ สักพักก็ตั้งสติได้ และพูดกับหญิงชราว่า “คุณลีผมเรียกชื่อคุณไม่กี่ครั้ง คุณยังโกรธขนาดนี้ แล้วที่คุณเอ่ยนามพระพุทธเจ้านับล้านครั้งตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่คิดหรือว่าพระพุทธเจ้าจะต้องโกรธคุณแน่ ๆ เลย”

    เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า การสวดมนต์นั้น ถ้าหากจิตใจไม่สงบก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าทำไปโดยคิดว่าสวดนาน ๆ ยิ่งดี จะได้ไปสวรรค์ หรือปิดอบาย แต่ไม่ได้ฝึกใจให้สงบเลย ก็แทบจะไม่ได้บุญ อย่างมากก็ได้แค่ความเพียร แต่ไม่ได้ช่วยให้ใจสงบ ซึ่งเป็นจุดหมายที่แท้ของการสวดมนต์ สวดมนต์ได้บุญก็อยู่ที่ตรงนี้คือใจสงบ

    ที่จริงแล้วการฝึกตนหรือการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมาย ๒ ประการใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง ลดอกุศลธรรมในจิตใจ สอง เพิ่มกุศลธรรมในจิตใจ การลดอกุศลธรรมมีอยู่ ๒ อย่าง คือ อกุศลธรรมใดที่มีอยู่แล้วก็ทำให้เหลือน้อยลง อกุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ส่วนกุศลธรรมก็มีอยู่ ๒ อย่างเช่นกัน คือ กุศลธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้วก็ทำให้มีมากขึ้น กุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็ทำให้มีขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกแล้วอกุศลธรรมไม่ลดลง หรือกุศลธรรมไม่เพิ่มขึ้น ก็เรียกว่าทำไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือได้ผลน้อย

    เวลาเราทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา เราต้องถามตัวเราเองว่าเป็นการฝึกตนมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกที่กาย ที่วาจา หรือที่ใจก็ตาม ไม่ใช่ทำแต่รูปแบบ ถ้าทำแต่รูปแบบก็เรียกได้ว่าเป็นสีลัพพตปรามาส เป็นความหลงงมงาย เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงธรรมขั้นสูง บางทีนอกจากกุศลธรรมจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้อกุศลธรรมเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ใช่ลดลง เช่น ทำบุญด้วยกิเลส ให้ทาน ๑๐ บาท แต่อยากได้ ๑๐๐ บาท ให้ทาน ๑๐๐ บาท อยากได้ ๑,๐๐๐ บาท จะทำอะไรก็นึกถึงประโยชน์ที่จะได้เข้าตัว เช่น ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อย่างนี้เรียกว่าทำด้วยกิเลส ถ้าทำบุญด้วยเจตนาแบบนี้ ด้วยทัศนคติแบบนี้ ก็ไม่ได้เป็นการฝึกตนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการเพิ่มพูนกิเลสมากกว่า

    การปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องจับหลักให้ได้ว่าเราทำเพื่ออะไร ถ้าจะทำอย่างถูกต้องก็คือทำเพื่อลดละกิเลสในใจ ลดละความเห็นแก่ตัว และเพิ่มพูนสติ สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น ถ้าทำด้วยความมุ่งหมายอย่างอื่น นอกจากผลดีจะเกิดขึ้นน้อยแล้ว บางทีก็อาจจะเกิดโทษก็ได้ เช่น พอคิดว่าทำบุญ ๙ วัดแล้วจะปิดอบายได้ ก็เลยประมาท ไม่มีความยับยั้งชั่งใจในการทำความชั่ว เพราะคิดว่าตายไปแล้วไม่ตกนรกแน่ ฉะนั้นฉันจะทำอะไรก็ได้ จะไปโกงใคร เอาเปรียบใครก็ได้ นี้เป็นความงมงายที่ทำให้ชีวิตถลำไปสู่ทางต่ำได้มากขึ้น กลายเป็นว่าแทนที่จะได้บุญกลับได้บาป
    :- https://visalo.org/article/buddhika54.html

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2025
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    เปิดเล่ม 4
    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้การปฏิบัติธรรมเป็นคำที่ได้ยินคุ้นหู หลายคนได้ยินคำนี้ก็นึกถึง การนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่จริงการปฏิบัติธรรมทำได้ทุกที่ทุกเวลา แล้วแต่ว่าจะปฏิบัติธรรมเรื่องอะไร เช่น ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดสติ หรีอเพื่อให้เกิดความอดทน ความพากเพียรพยายาม หรือเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณา การปฏิบัติธรรมแต่ละอย่าง มีวัตถุประสงค์ต่างกัน เราอาจใช้เวลากินอาหารเป็นการระลึกถึงบุญคุณของสรรพสิ่ง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ รวมไปถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารด้วย ที่ทำให้เรามีอาหารกิน เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยกินด้วยความสำนึกรู้คุณ หรือเห็นคุณค่าของอาหารเท่าไร เพราะเราคิดแต่จะกินเพื่อความอร่อยอย่างเดียว หรือกินด้วยความสนุกสนาน จึงกินทิ้งกินขว้างมากมาย

    มีตัวเลขที่เห็นแล้วน่าตกใจ คือ ๑ ใน ๓ ของอาหารที่เราซื้อ เราทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซื้อมา ๓ ทิ้งไป ๑ นี่คือภาพรวมของการบริโภคของคนทั้งโลก มันเกิดขึ้นอย่างไร มีสาเหตุมากมาย เช่น เวลาไปซื้อผัก ซื้อเนื้อ ซื้อปลามาจากตลาด ก็ซื้อมาเยอะเพราะเห็นว่ามันถูก เสร็จแล้วก็ใส่ตู้เย็นเอาไว้ แล้วก็ไม่ได้เอามาปรุง ในที่สุดมันก็เสีย ต้องทิ้งขยะไป ประการต่อมาคือเมื่อเอาผักเอาเนื้อทำเป็นอาหาร แต่ว่าทำเยอะไป กินไม่หมด ที่เหลือก็ต้องทิ้ง เท่านี้ก็สูญเสียไปเยอะ เขาประมาณว่า อาหารที่ซื้อแล้วไม่ได้เอามาปรุงหรือปรุงแล้วไม่ได้กินหรือกินไม่หมด ทั่วทั้งโลกรวมแล้วประมาณ ๓๐๐ ล้านตัน ปริมาณขนาดนี้สามารถเลี้ยงคนแอฟริกันได้ทั้งทวีป คือ ๙๐๐ ล้านคนตลอดทั้งปี คนแอฟริกันนั้นหิวโหย ไม่มีอาหารกิน แต่ว่าคนในส่วนอื่นของโลกกลับกินทิ้งกินขว้าง

    เวลานี้คนแอฟริกันที่ตายเพราะขาดอาหาร มีเป็นล้าน ๆ คนไม่ใช่น้อยเลย นี้ยังไม่ได้พูดถึงผัก ผลไม้ ข้าวที่ตกหล่นกลางทางก่อนที่จะมาถึงร้าน ผลไม้ที่ปลูกตามสวนต่าง ๆ หรือธัญพืชที่ปล่อยทิ้งไว้ในไร่นา ไม่ได้เก็บเอามาขายก็มีมาก เพราะว่าไม่ได้มาตรฐานที่ตลาดกำหนด ปลูกแล้วเขาไม่รับซื้อ ก็เลยขี้เกียจเก็บ ปล่อยให้มันเน่าคาไร่นา คาสวน อันนี้ก็มีมาก หรือว่าตกหล่นระหว่างทาง ทั้งจากการขนส่ง หรือจากกระบวนการจัดเก็บ

    มีอีกตัวเลขหนึ่งที่น่าตกใจ คือข้าวที่ปลูกในเอเชียอาคเนย์หรือประเทศแถวบ้านเรา ทั้งไทย เวียดนาม พม่า ลาว เขมร ประมาณ ๔๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ จะตกหล่น สูญหาย หรือเน่าเสียก่อนที่จะถึงร้านค้า คือ ตอนขนก็ขนไม่หมด ทิ้งไว้ตามไร่นา ส่วนนี้อาจจะไม่สูญเปล่าทีเดียวนัก เพราะกลายเป็นอาหารของสัตว์ เช่น นก หนู ทีนี้พอขนขึ้นแล้ว ระหว่างทางก็ตกหล่นเรี่ยราด พอมาเข้ายุ้งฉางก็เก็บไว้จนเน่าเสีย ขึ้นรา แค่นี้ก็สูญหายไปแล้ว ๔๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ของข้าวที่ปลูก ส่วนที่เอามาขายก็ประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็มาก เพราะอย่างที่บอก ซื้อไปแล้วก็เก็บจนเน่า หรือพอปรุงเป็นอาหารแล้วก็กินไม่หมด อันนี้เป็นเพราะไม่ได้ซื้อให้พอดีกับความต้องการ ถ้าเราซื้อให้พอดีกับความต้องการ ทำพอดี มันก็ไม่เกิดการสูญเสียมากมายขนาดนี้ เพียงแค่เราซื้อมาพอกิน ตักพอกิน หรือไม่กินทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จะช่วยโลกได้เยอะ เพราะว่าช่วยลดของเสียซึ่งกลายเป็นขยะทำลายสิ่งแวดล้อม

    การที่เรากินอาหารด้วยความรู้ค่า รู้คุณ เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรากิน เราก็จะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของชีวิตและผู้คนที่ผลิตและนำอาหารมาให้เรา สำนึกดังกล่าวจะกระตุ้นเตือนให้เราพยายามใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เพื่อตอบแทนบุญคุณของสรรพชีวิตที่ให้อาหารเรา สิ่งนี้เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งที่เราควรจะทำเป็นอาจิณ

    ก่อนที่จะกินอาหารพระบางวัดจะสวดสวดเป็นภาษาบาลี เรียกว่าสวดปฏิสังขาโย จุดมุ่งหมายก็เพื่อเตือนสติให้เรากินอย่างรู้ค่า ให้รู้ว่าควรกินเพื่ออะไร คือ กินเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ ไม่ใช่กินเพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน เพื่อความโก้เก๋ แต่กินเพื่อบรรเทาความหิว และไม่ทำให้มีความทุกข์เพิ่มขึ้น บางคนกินเข้าไปแล้วความหิวหายไป แต่ความทุกข์ใหม่เข้ามาแทนคือความจุกเสียด นี้เป็นเพราะกินอย่างไม่มีสติ ปัจจุบันโทษของการกินอย่างไม่มีสติมีมากมาย ไม่ใช่แค่จุกเสียดเท่านั้น สารอาหารที่สะสมมากเข้ายังกลายเป็นไขมันอุดตันตามเส้นเลือด โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ หรือเส้นเลือดสมอง สุดท้ายก็ป่วยและตายก่อนวัยอันควร

    ถ้ากินอย่างไม่มีสติ กินด้วยความเพลิดเพลิน ไม่มีปัญญาในการกิน กินตามใจปาก ไม่เห็นคุณค่าและโทษของมัน ก็สามารถก่อผลเสียแก่ตัวเราได้ ซึ่งเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายเจ็บป่วยเพราะกินอาหารอย่างไม่มีสติ ไม่ใช้ปัญญา เมื่อเจ็บป่วยแล้วก็ไม่ต้องโทษอดีตชาติ ไม่ต้องโทษกรรมในชาติที่แล้วว่าทำให้เจ็บป่วย แต่เป็นเพราะการกระทำของเราในชาตินี้ทั้งนั้น ถ้ากินอย่างไม่มีสติ กินอย่างไม่ใช้ปัญญา ผลร้ายก็สามารถจะเกิดกับเราโดยไม่ต้องรอชาติหน้า

    ปีที่กำลังจะผ่านไปเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ถึงแม้บ้านเมืองจะผันผวนร้อนรุ่มเพียงใด ใจของเราก็ยังสามารถสงบเย็นได้เสมอ ใจที่สงบเย็นนี้แหละที่จะช่วยพาสติให้กลับมาจนเกิดปัญญา สามารถนำพาชีวิตให้พ้นวิกฤตและบรรเทาความร้อนรุ่มในบ้านเมืองได้

    ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฟังฝ่าอุปสรรค สามารถสร้างประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและส่วนรวม
    :- https://visalo.org/article/buddhika53.html
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ระลึกถึงความตายสบายนัก
    พระไพศาล วิสาโล


    ระลึกถึงความตายสบายนัก
    มันหักรักหักหลงในสงสาร
    บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
    ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
    พระศาสนโสภณ (จตตสลลเถร)

    สำหรับคนทั่วไปไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความตาย เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น หากยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวดก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคนรองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือเราทุกคนต้องตาย

    ความตายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็จริง แต่ใครบ้างที่ยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนเป็นอันมากจึงพยายามหนีห่างความตายให้ไกลที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามไม่นึกถึงมัน โดยทำตัวให้วุ่น หาไม่ก็ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับความสุขและการเสพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีชีวิตราวกับลืมตาย ดังนั้นจึงไม่พอใจหากมีใครพูดถึงความตายให้ได้ยิน ถือว่าเป็นอัปมงคล คำว่า “ความตาย”กลายเป็นคำอุจาดที่แสลงหู ต้องเปลี่ยนไปใช้คำอื่นที่ฟังดูนุ่มนวล เช่น “จากไป” หรือ “สิ้นลม”

    ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ไปตายเอาดาบหน้า” คือ ความตายมาถึงเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที แต่วันนี้ขอสนุกหรือขอหาเงินก่อน ผลก็คือเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า จึงตื่นตระหนก ร่ำร้อง ทุรนทุราย ต่อรอง ผัดผ่อน ปฏิเสธผลักไส ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ แต่ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้ เตรียมตัวเตรียมใจเพียงใด ก็ได้รับผลเพียงนั้น ถ้าเตรียมมามากก็ผ่านความตายได้อย่างสงบราบรื่น ถ้าเตรียมมาน้อย ก็ทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าจะหมดลม หากความตายเปรียบเสมือนการสอบ ก็เป็นการสอบที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

    จะว่าไปชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวสอบครั้งสำคัญนี้ สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการสอบดังกล่าว ไม่ว่าการคิด พูด หรือทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ ที่สำคัญก็คือการสอบดังกล่าวมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัวหรือสอบซ่อม หากสอบพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลม

    ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตายหรือคิดแต่จะไปตายเอาดาบหน้า แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี อันที่จริงถ้ารู้จักความตายอยู่บ้าง ก็จะรู้ว่าความตายนั้นมิใช่เป็นแค่ “วิกฤต” เท่านั้น แต่ยังเป็น “โอกาส”อีกด้วย กล่าวคือเป็นวิกฤตในทางกาย แต่เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายกำลังแตกดับ ดิน น้ำ ลม ไฟ กำลังเสื่อมสลาย หากวางใจได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถพบกับความสงบ ทุกขเวทนาทางกายมิอาจบีบคั้นบั่นทอนจิตใจได้ มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่งเมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยแบกยึดเอาไว้ หลายคนหันเข้าหาธรรมะจนค้นพบความหมายของชีวิตและความสุขที่แท้ ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาคืนดีกับคนรักจนไม่เหลือสิ่งค้างคาใจใด ๆ และเมื่อความตายมาถึง มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ โดยมีสติรู้ตัวกระทั่งนาทีสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้นมีบางท่านที่เห็นแจ้งในสัจธรรมจากทุกขเวทนาอันแรงกล้าที่ปรากฏเฉพาะหน้า จนเกิดปัญญาสว่างไสว และปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง บรรลุธรรมขั้นสูงได้ในขณะที่หมดลมนั้นเอง

    สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ความตายจึงมิใช่ศัตรู หากคือครูที่เคี่ยวเข็ญให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง คอยกระตุ้นเตือนให้เราอยู่อย่างไม่ประมาท และไม่หลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่มิใช่สาระของชีวิต ขณะเดียวกันก็สอนแล้วสอนเล่าให้เราเห็นแจ้งในสัจธรรมของชีวิต ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรน่ายึดถือ และไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นของเราได้เลยแม้แต่อย่างเดียว ยิ่งใกล้ความตายมากเท่าไร คำสอนของครูก็ยิ่งแจ่มชัดและเข้มข้นมากเท่านั้น หากเราสลัดความดื้อดึงได้ทันท่วงที นาทีสุดท้ายของเราจะเป็นนาทีที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกนาทีนั้นว่า “นาทีทอง”


    ทำไมถึงกลัวตาย

    ความตายไม่ว่าจะน่ากลัวอย่างไรในสายตาของคนทั่วไป ก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย ความตายหากวัดที่การหมดลมหรือหัวใจหยุดเต้น ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ความกลัวตายนั้นสามารถหลอกหลอนคุกคามผู้คนนานนับปีหรือยิ่งกว่านั้น ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไร ก็ทุกข์เมื่อนั้น จึงมีภาษิตว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว แต่คนขลาดตายหลายครั้ง” ความกลัวตายยังน่ากลัวตรงที่เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามผลักไสความตายออกไปให้ไกลที่สุด จนแม้แต่จะคิดถึง เรียนรู้ หรือทำความรู้จักกับมัน ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะเห็นความทุกข์เป็นศัตรู ยิ่งเมื่อความตายมาอยู่ต่อหน้า แทนที่จะยอมรับ กลับปฏิเสธผลักไสสุดแรง แต่เมื่อไม่สมหวังก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งผลักไส ยิ่งผลักไสก็ยิ่งผิดหวัง ผลคือความทุกข์เพิ่มพูนเป็นทวีตรีคูณ หารู้ไม่ว่าหากยอมรับความตาย ความทุกข์ก็จะน้อยลงไปมาก บางคนที่รู้ว่าเครื่องบินกำลังตก รถกำลังพุ่งชนคันหน้า ในชั่วไม่กี่วินาทีที่เหลืออยู่ ทำใจพร้อมรับความตายโดยดุษณี ไม่คิดต่อสู้ขัดขืน ปล่อยวางทุกอย่าง กลับพบว่าจิตใจนิ่งสงบอย่างยิ่ง

    คนเรากลัวตายด้วยหลายสาเหตุ กล่าวคือ ความตายนอกจากจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด และทำให้เราพลัดพรากไปตลอดกาลจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว ความตายยังหมายถึงการสิ้นสุดโอกาสที่จะได้เสพสุข ในยุคบริโภคนิยมซึ่งถือว่าการเสพสุขเป็นสุดยอดปรารถนาของชีวิต อย่าว่าแต่การหมดโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นเลย แม้เพียงการไม่สามารถที่จะเสพสุขอย่างเต็มที่ จะเป็นเพราะความชรา ความเจ็บป่วย ความพิการ หรือความผันแปรของร่างกาย (เช่น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ) ก็ตาม ถือว่าเป็นทุกข์มหันต์อันยากจะทำใจได้

    อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คนที่ไร้ญาติขาดมิตร ยากจนแสนเข็ญ และกำลังประสบทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเพราะป่วยหนักในระยะสุดท้าย จำนวนมากก็ยังกลัวตาย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นโอกาสเสพสุขแทบจะไม่มีเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังมีความหวังว่าจะหายป่วยและกลับไปเสพสุขใหม่ แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะยังมีความหวงแหนในชีวิต แม้สิ้นไร้ไม้ตอกเพียงใดก็ยังมีชีวิตเป็นสมบัติสุดท้ายที่อยากยึดเอาไว้อยู่

    มองให้ลึกกว่านั้นก็คือเขายังมีความยึดติดในตัวตน แม้ไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิต แต่ก็ยังมีตัวตนให้ยึดถือ หากตัวตนดับสูญเสียแล้ว จะมีอะไรทุกข์ไปกว่านี้ ในอดีตอิทธิพลทางศาสนาทำให้ผู้คนเชื่อว่าแม้หมดลมแล้ว ตัวตนก็ยังไม่ดับสูญ หากยังสืบต่อในโลกหน้า หรือมีสวรรค์เป็นที่รองรับ จึงไม่หวาดกลัวความตายมากนัก ตรงข้ามกับคนสมัยนี้ ซึ่งไม่ค่อยเชื่อในโลกหน้าหรือชีวิตหน้าแล้ว ความตายจึงหมายถึงการดับสูญของตัวตนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่หลังความตาย ความตายก็ยังน่ากลัวอยู่นั่นเอง เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน อะไรที่เราไม่รู้ ดำมืด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่เสมอ

    ความไม่คุ้นชินเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนกลัวความตายกันมาก ในปัจจุบันความตายถูกแยกออกไปจากชีวิตประจำวันจนแทบจะกลายเป็นสิ่งลี้ลับไป ยามเจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาล และเมื่อป่วยหนักใกล้ตายก็ถูกพาเข้าห้องไอซียู ผู้คนนับวันจะตายในที่มิดชิดโดยมีคนรับรู้เพียงไม่กี่คน เมื่อตายแล้วก็ตั้งศพและทำพิธีกันในวัด ซึ่งไกลหูไกลตาของผู้คนโดยเฉพาะในเมือง ผิดกับในอดีตผู้คนเมื่อเจ็บป่วยก็รักษาพยาบาลกันที่บ้าน เมื่อใกล้ตายก็มีเพื่อนบ้านมาดูใจกัน ความตายเป็นเหตุการณ์สาธารณะที่คนทั้งชุมชนรับรู้ร่วมกัน ครั้นตายแล้วก็ตั้งศพที่บ้าน คนทั้งชุมชนมาช่วยงานกันขวักไขว่ ต่อเมื่อจะปลงศพ จึงหามไปเผาในวัดหรือป่าช้า มีคนทั้งชุมชนมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียง ก่อนเผายังมักมีการเปิดฝาโลงให้ผู้คนได้ดูและล้างหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับผู้คนที่เติบโตมาในวัฒนธรรมดังกล่าว ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่รับรู้รับเห็นเป็นอาจิณตั้งแต่เกิดจนโต จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวมากนัก ตรงข้ามกับวัฒนธรรมปัจจุบันซึ่งเห็นความตายเป็นปฏิปักษ์กับชีวิต จึงพยายามปกปิดไม่ให้ผู้คนรู้เห็นมากนัก ยกเว้นความตายของคนที่ไกลตัวมาก ๆ หากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ก็อาจถูกแปรสภาพเป็น “สินค้า” เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน ดังที่มักปรากฏตามสื่อต่าง ๆ แต่สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นแค่ภาพมากกว่าที่จะเป็นเหตุการณ์ที่ตนได้ร่วมรับรู้รับเห็นจริง ๆ

    ทำใจให้คุ้นชินกับความตาย

    ไม่ว่าจะหลีกหนีให้ไกลเพียงใด เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น ในเมื่อจะต้องเจอกับความตายอย่างแน่นอน แทนที่จะวิ่งหนีความตายอย่างไร้ผล จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเตรียมใจรับมือกับความตาย ในเรื่องนี้ มองแตญ ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวแนะนำว่า “เราไม่รู้ว่าความตายคอยเราอยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นขอให้เราคอยความตายทุกหนแห่ง”

    สิ่งลี้ลับแปลกหน้านั้นย่อมน่ากลัวสำหรับเราเสมอ แต่เมื่อใดที่เราคุ้นชินกับมัน มันก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป ความตายก็เช่นกัน การเตรียมใจรับมือกับความตายที่ดีที่สุดคือ การทำใจให้คุ้นชินกับมันเป็นเบื้องแรก เพื่อมิให้มันเป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับเราอีกต่อไป เราสามารถทำใจให้คุ้นชินกับความตายได้ด้วยการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ นั่นคือเจริญ “มรณสติ” อยู่เป็นประจำ

    การเจริญมรณสติคือการระลึกหรือเตือนตนว่า ๑) เราต้องตายอย่างแน่นอน ๒) ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ อาจเป็นปีหน้า เดือนหน้า พรุ่งนี้ คืนนี้ หรืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องสำรวจหรือถามตนเองว่า ๓) เราพร้อมที่จะตายหรือยัง เราได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง และพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้วหรือยัง ๔)หากยังไม่พร้อม เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เร่งทำสิ่งที่ควรทำให้เสร็จสิ้น อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หาไม่แล้ว เราอาจไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยก็ได้

    ข้อ ๑) และ ๒) คือความจริงหรือเป็นกฎธรรมชาติที่เราไม่อาจปฏิเสธหรือขัดขืนต้านทานได้ ส่วนข้อ ๓) และ ๔) คือสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการได้ เป็นการกระทำที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราโดยตรง

    การระลึกหรือเตือนใจเพียง ๒ ข้อแรกว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน และจะตายเมื่อไรก็ได้ หากทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราตื่นตระหนกน้อยลงเมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เพราะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทันทีที่เราตระหนักว่าความตายจะทำให้เราพลัดพรากจากทุกสิ่งที่มีอยู่อย่างสิ้นเชิง ในชั่วขณะนั้นเองหากเราระลึกขึ้นมาได้ว่ามีบางสิ่งบางคนที่เรายังห่วงอยู่ มีงานบางอย่างที่เรายังทำไม่แล้วเสร็จ หรือมีเรื่องค้างคาใจที่ยังไม่ได้สะสาง ย่อมเป็นการยากที่เราจะก้าวเข้าหาความตายได้โดยไม่สะทกสะท้าน ยิ่งความตายมาพร้อมกับทุกขเวทนาอันแรงกล้า หากไม่ได้ฝึกใจไว้เลยในเรื่องนี้ ก็จะทุรนทุรายกระสับกระส่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะไหนจะถูกทุกขเวทนาทางกายรุมเร้า ไหนจะห่วงหาอาลัยหรือคับข้องใจสุดประมาณ ทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างมาก
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ด้วยเหตุนี้ลำพังการระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว จึงยังไม่เพียงพอ ควรที่เราจะต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่า เราพร้อมจะตายมากน้อยแค่ไหน และควรจะทำอย่างไรกับเวลาและชีวิตที่ยังเหลืออยู่ การพิจารณา ๒ ประเด็นหลังนี้จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต เร่งทำสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จ ไม่ผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็เห็นความสำคัญของการฝึกใจให้ปล่อยวางบุคคลและสิ่งต่าง ๆ ที่ยังยึดติดอยู่ กล่าวโดยสรุปคือ ควรพิจารณาทั้ง ๔ ข้อไปพร้อมกัน

    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ได้ตรัสแนะนำให้ภิกษุเจริญมรณสติเป็นประจำ อาทิ ให้ระลึกเสมอว่า เหตุแห่งความตายนั้นมีมากมาย เช่น งูกัด แมลงป่องต่อย ตะขาบกัด หาไม่ก็อาจพลาดพลั้งหกล้ม อาหารไม่ย่อย ดีซ่าน เสมหะกำเริบ ลมเป็นพิษ ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์ทำร้าย จึงสามารถตายได้ทุกเวลา ไม่กลางวันก็กลางคืน ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่า บาปหรืออกุศลธรรมที่ตนยังละไม่ได้ ยังมีอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่ ควรพากเพียร ไม่ท้อถอย เพื่อละบาปและอกุศลธรรมเหล่านั้นเสีย หากละได้แล้ว ก็ควรมีปีติปราโมทย์ พร้อมกับหมั่นเจริญกุศลธรรมทั้งหลายให้เพิ่มพูนมากขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน

    แม้กระทั่งเมื่อพระองค์ใกล้จะปรินิพพาน โอวาทครั้งสุดท้ายของพระองค์ก็ยังเน้นย้ำถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ดังตรัสว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

    ความไม่ประมาท ขวนขวายพากเพียร ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ เป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงเน้นมากเมื่อมีการเจริญมรณสติหรือเมื่อตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต อย่างไรก็ตามเมื่อความตายมาประชิดตัว พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ดังทรงแนะนำอุบาสกที่จะช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย ว่าพึงน้อมใจเขาให้ละความหวงใยในมารดาและบิดา ในบุตรและภรรยา(สามี) จากนั้นให้ละความห่วงใยในกามคุณ ๕ (หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินทางกาย) ละความห่วงใยแม้กระทั่งสวรรค์ทั้งปวง ตลอดจนพรหมโลก น้อมใจสู่ความดับซึ่งความยึดติดทั้งปวง เพื่อบรรลุถึงความวิมุติหลุดพ้นในที่สุด

    มรณสติแบบต่าง ๆ

    การเจริญมรณสติทำได้หลายวิธี เพียงแค่นึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ว่าเราจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว จึงควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เท่านี้ก็ถือว่าเป็นมรณสติอย่างหนึ่ง แต่สำหรับคนทั่วไป การระลึกเพียงเท่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวได้ไม่มากพอ เพราะเป็นเพียงแค่การคิดอย่างย่นย่อ อีกทั้งเป็นการรับรู้ในระดับสมอง แต่ยังไม่ได้ส่งผลไปถึงอารมณ์ความรู้สึกมากนัก อาจทำให้เกิดความตื่นตัวอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็เลือนหายไป ผลก็คือชีวิตหวนกลับไปสู่แบบแผนเดิม ๆ หลงวนอยู่กับงานเฉพาะหน้าหรือเพลินกับความสนุกสนาน จนลืมทำสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตไปเสีย

    อันที่จริงในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับความตายของใครต่อใครอยู่เสมอ เพียงแค่ได้ยินข่าวนั้นแล้วโยงมาถึงตัวเองว่า ไม่นานเราก็จะต้องตายเช่นเดียวกับเขา เท่านี้ก็สามารถกระตุ้นเตือนให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต และผลักดันให้ขวนขวายเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกับความตายในวันข้างหน้า แต่คนที่จะตื่นตัวเพราะได้ยินข่าวเพียงเท่านี้ นับว่ามีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วมักรอให้ความตายเข้ามาใกล้ตัวก่อนจึงจะตื่นตัว เช่น เห็นคนตายต่อหน้าต่อตา หรือรอให้ญาติหรือคนใกล้ชิดตายเสียก่อนถึงตื่นตัว หนักกว่านั้นคือตนเองต้องป่วยหนักหรือใกล้ตายเสียก่อนจึงค่อยตื่นตัว พระพุทธเจ้าจึงเปรียบคน ๔ กลุ่มข้างต้นดังม้า ๔ ประเภท ประเภทแรกเพียงแค่เห็นเงาปฏัก ก็รู้ว่าสารถีต้องการให้ทำอะไร ประเภทที่ ๒ ต้องถูกปฏักแทงที่ขุมขนก่อนถึงรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ประเภทที่ ๓ จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อถูกปฏักแทงที่ผิวหนัง ประเภทสุดท้ายต้องถูกปฏักแทงถึงกระดูกจึงค่อยรู้ตัวว่าจะต้องทำอะไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนส่วนใหญ่นั้น แค่รู้หรือเห็นความจริงยังไม่พียงพอ ต้องรู้สึกเจ็บปวดเสียก่อนจึงจะกระตือรือร้นเตรียมรับมือกับความตาย

    ด้วยเหตุนี้ สำหรับคนทั่วไปการเจริญมรณสติที่จะช่วยให้เกิดความไม่ประมาทได้เป็นอย่างดีก็คือ การพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมาหลังจากความตายเกิดขึ้น โดยมองให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าจะต้องสูญเสียอะไรและพลัดพรากจากใครบ้าง ผู้ที่ไม่พร้อมย่อมรู้สึกเจ็บปวดกับความสูญเสียพลัดพรากดังกล่าว แม้จะเป็นความทุกข์แต่ก็ช่วยให้เฉลียวใจได้คิดว่าในขณะที่ยังมีเวลาเหลืออยู่เราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อป้องกันมิให้ความทุกข์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อถึงวันที่จะต้องพลัดพรากจริง ๆ

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการเจริญมรณสติ

    ๑.ฝึกตายหรือเจริญมรณสติก่อนนอน

    ช่วงเวลาก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเจริญสติสำหรับคนทั่วไป เนื่องจากได้ทำภารกิจประจำวันเสร็จสิ้น บรรยากาศรอบตัวมีความสงบมากขึ้น ร่างกายและจิตใจเข้าสู่ช่วงแห่งการพักผ่อน เป็นโอกาสดีสำหรับการน้อมจิตพิจารณาถึงความเป็นไปของชีวิตซึ่งมีความตายเป็นเบื้องหน้า วิธีที่ดีที่สุดคือการน้อมจิตอย่างจริงจังประหนึ่งว่าความตายกำลังเกิดขึ้นกับเรา นั่นคือ “ฝึกตาย”

    ท่าที่เหมาะแก่การเจริญมรณสติคือนอนราบกับพื้น แขนแนบกับลำตัว ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ไม่มีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด ทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงไปกับพื้น ไม่มีส่วนใดที่เกร็งหรือเหนี่ยวรั้งไว้ หายใจอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับน้อมใจมาไว้ที่ปลายจมูก รู้ถึงสัมผัสบางเบาของลมหายใจทั้งเข้าและออก ปล่อยวางความนึกคิดต่าง ๆ ไม่ว่าเรื่องราวในอดีตหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    เมื่อจิตใจเริ่มสงบลงแล้ว ให้พิจารณาว่าเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ความตาย ความตายจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน ไม่มีวันที่เราจะรู้ล่วงหน้าได้ อาจเป็นหลายปีข้างหน้า หรือเป็นปีหน้า เดือนหน้า หรือแม้แต่อาทิตย์หน้า จากนั้นให้พิจารณาต่อไปว่าความตายอาจเกิดขึ้นกับเราในคืนนี้ก็ได้ คืนนี้คือคืนสุดท้ายของเรา จะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเราอีกต่อไป นี้คือการนอนครั้งสุดท้ายของเรา

    พิจารณาต่อไปว่าเมื่อความตายมาถึง ลมหายใจก็จะสิ้นสุด ไม่มีทั้งลมหายใจเข้าและออก หัวใจจะหยุดเต้น ท้องที่พองยุบจะแน่นิ่ง ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวจะขยับเขยื้อนไม่ได้อีกต่อไป ที่เคยอุ่นก็จะเริ่มเย็น ที่เคยยืดหยุ่นก็จะแข็งตึง ไม่ต่างจากท่อนไม้ ไร้ประโยชน์

    จากนั้นพิจารณาต่อไปว่าเมื่อความตายมาถึง ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่เราเฝ้าหาและถนอมรักษา จะมิใช่ของเราอีกต่อไป กลายเป็นของคนอื่นจนหมดสิ้น ไม่สามารถอุทธรณ์คัดค้าน และ ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้อีกต่อไป แม้แต่ของรักของหวงก็อาจถูกปล่อยปละไร้คนดูแล

    ยิ่งไปกว่านั้น เราจะไม่มีโอกาสพบปะพูดคุยกับลูกหลานหรือคนรักอีกต่อไป กิจวัตรประจำวันที่เคยทำร่วมกับเขาจะกลายเป็นอดีต ต่อไปนี้จะไม่สามารถเยี่ยมเยือนพ่อแม่หรือตอบแทนบุญคุณท่านได้อีกแล้ว แม้แต่จะสั่งเสียหรือล่ำลาก็มิอาจทำได้เลย หากผิดใจกับใคร ก็ไม่สามารถคืนดีกับเขาได้ ขุ่นข้องหมองใจใคร ก็ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้อีกแล้ว

    งานการก็เช่นกัน เราต้องทิ้งทุกอย่าง หากยังไม่เสร็จสิ้นก็ต้องทิ้งไว้แค่นั้น ไม่สามารถสะสางหรือแก้ไขได้อีกต่อไป ถึงแม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม ก็อาจถูกปล่อยทิ้งไร้คนสนใจไยดี เช่นเดียวกับความรู้และประสบการณ์ทั้งหลายที่สั่งสมมา จะเลือนหายไปพร้อมกับเรา

    ชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ และบริษัทบริวารทั้งหลาย จะหลุดจากมือเราไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมากมายยิ่งใหญ่เพียงใดก็เอาไปไม่ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่าหวังว่าผู้คนจะยังแซ่ซร้องสรรเสริญเราหลังจากสิ้นลม เพราะแม้แต่ชื่อของเราสักวันหนึ่งก็ต้องถูกลืม ไร้คนจดจำ
    ระหว่างที่พิจารณาไปทีละขั้น ๆ ให้สังเกตความรู้สึกของเราว่าเป็นอย่างไร มีความตระหนก เศร้าโศกเสียใจ ห่วงหาอาลัยหรือไม่ เราพร้อมทำใจกับการพลัดพรากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด ถ้าหากยังไม่พร้อม อะไรทำให้เราไม่พร้อม และทำอย่างไรเราจึงจะพร้อม

    การพิจารณาดังกล่าวจะช่วยให้เราตระหนักว่า ยังมีบางสิ่งหรือหลายสิ่งที่เราสมควรทำแต่ยังไม่ได้ทำหรือทำไม่มากพอ ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่เรายังตัดใจไม่ได้ ความตระหนักดังกล่าวจะช่วยให้เราเกิดความขวนขวายที่จะทำสิ่งสำคัญที่ละเลยไป พร้อมกับเรียนรู้ที่จะฝึกใจปล่อยวางด้วย
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ที่กล่าวมาเป็นการฝึกตายอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็สามารถยักเยื้องไปได้อีกหลายรูปแบบ เช่น
    ก.ทบทวนคามดีที่ได้ทำ

    เมื่อน้อมใจจินตนาการว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเรา ขณะที่ร่างกายกำลังจะหมดลม หัวใจกำลังจะหยุดเต้น ร่างกายกำลังจะเย็นแข็งและแน่นิ่งดังท่อนไม้ ให้พิจารณาว่าเราได้ทำความดีหรือดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าสมกับที่เกิดมาแล้วหรือยัง มีความรู้สึกเสียใจกับชีวิตที่ผ่านมาหรือไม่ อะไรบ้างที่เรารู้สึกว่ายังทำได้ไม่มากพอ และอะไรบ้างที่เราอยากปรับปรุงแก้ไขหากยังมีเวลาเหลืออยู่

    การพิจารณาในแง่นี้แม้ดูจะเป็นนามธรรมอยู่บ้าง แต่หากเราหันมาดูความรู้สึกของตนเองขณะที่คิดว่ากำลังจะตายไปจริง ๆ ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมาเราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับการเกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง หรือมีสิ่งใดที่ยังค้างคาใจที่ทำให้เราไม่พร้อมจะจากโลกนี้ไปในคืนนี้ การระลึกได้เช่นนี้จะทำให้เราตระหนักว่ามีอะไรบ้างที่เราจะต้องลงมือทำเสียที หรือต้องทำให้มากกว่าเดิม

    ข. นึกถึงงานศพของตัวเอง

    จินตนาการว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเรา จากนั้นให้นึกต่อไปว่าเมื่อหมดลม ร่างกายของเราถูกนำไปดำเนินการตามประเพณี บัดนี้ร่างของเราถูกบรรจุอยู่ในหีบตั้งโดดเด่น ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางมาร่วมพิธีศพเพื่ออำลาเราเป็นครั้งสุดท้าย มีทั้งลูกหลาน ญาติมิตร เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมรุ่น คนเหล่านี้ต่างพูดถึงเราในวงสนทนาบ้าง พูดต่อหน้าผู้คนที่มาร่วมพิธีศพบ้าง ทีนี้ให้ถามตัวเองว่า อยากให้ผู้คนเหล่านี้พูดหรือเขียนถึงเราว่าอย่างไร อยากให้เขาจดจำเราในลักษณะใด อยากให้เขาประทับใจในเรื่องอะไรบ้างที่เกี่ยวกับตัวเรา จากนั้นให้ถามต่อไปว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่เราได้ทำอะไรบ้างที่ชวนให้เขารำลึกถึงเราในแง่นั้น มีความดีอะไรบ้างที่เราได้ทำอันควรแก่การชื่นชมสรรเสริญ

    การพิจารณาในแง่นี้จะช่วยเตือนใจให้ใคร่ครวญว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำความดีมากน้อยเพียงใด มีความดีอะไรบ้างที่เรายังทำไม่มากพอ และควรทำให้มากกว่านั้น มีหลายครั้งที่เราปล่อยชีวิตไปตามความพึงพอใจส่วนตัว โดยไม่สนใจผลกระทบที่มีต่อผู้อื่น เราอยากได้ชื่อว่าเป็นคนเสียสละ เอื้อเฟื้อ มีเมตตา เป็นพ่อหรือแม่ที่ดี แต่เรากลับดำเนินชีวิตไปทางตรงกันข้าม เพราะมัวแต่แสวงหาเงินทองและชื่อเสียง มรณสติในลักษณะดังกล่าวจะช่วยเตือนสติเราให้หันกลับมาดำเนินชีวิตในทิศทางที่พึงปรารถนา

    ค.พิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย

    เมื่อน้อมใจจินตนาการว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเรา ให้พิจารณาว่าเมื่อความตายมาถึงแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา เห็นภาพร่างกายของเราที่แปรเปลี่ยนไปหลังจากหมดลมแล้ว ที่เคยอ่อนอุ่นก็กลับแข็งเย็น ที่เคยเดินเหินเคลื่อนขยับได้ ก็กลับแน่นิ่ง ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องรอให้คนอื่นมายกย้ายสถานเดียว แม้เปรอะเปื้อนเพียงใดก็ทำอะไรกับตัวเองไม่ได้ ต้องรอให้คนอื่นมาทำความสะอาดให้ แต่ถึงจะทำให้เพียงใด ไม่ช้าไม่นานก็เริ่มสกปรกเพราะน้ำเหลืองน้ำหนองที่ไหลออกมาตามตัว ร่างกายที่เคยสวยงามก็เริ่มขึ้นอืด ผิวพรรณที่เคยขาวนวลก็กลายเป็นเขียวช้ำ ที่เคยประทินด้วยกลิ่นหอมก็กลับเน่าเหม็น ทุกอย่างแปรผันจนแม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้ คนที่เคยรักและชื่นชมเรา บัดนี้กลับรังเกียจและกลัวร่างกายของเรา แต่จะว่าเขาไม่ได้เลย เพราะแม้แต่เราเองหากมาเห็นก็ยังขยะแขยงร่างกายของตัวเองด้วยซ้ำ

    การพิจารณาความตายด้วยวิธีนี้ มุ่งหมายให้เราคลายความยึดติดในร่างกาย มิใช่เพราะมีความน่าเกลียดแฝงอยู่ภายใต้ความสวยงามเท่านั้น หากยังเป็นเพราะร่างกายหาใช่ของเราไม่ ไม่ว่าเราจะพยายามควบคุมปรุงแต่งอย่างไร มันก็ไม่อาจเป็นไปดังใจได้ ในที่สุดก็จะแสดงความจริงที่ไม่น่ายินดีออกมา

    การตระหนักถึงความจริงข้อนี้ นอกจากจะช่วยบรรเทาความทุกข์เมื่อร่างกายเกิดผันแปร เช่น เจ็บป่วย แก่ชรา พิการ หรืออัมพฤกษ์แล้ว ยังช่วยเตือนใจไม่ให้เราหมกมุ่นลุ่มหลงกับร่างกายมากเกินไป จนลืมที่จะทำสิ่งที่มีความสำคัญกว่า โดยเฉพาะสิ่งที่ก่อให้ความเจริญงอกงามแก่จิตใจ ในยุคที่ผู้คนกำลังหมกมุ่นกับการปรุงแต่งร่างกาย เพลิดเพลินหลงใหลไปกับความงามชั่วครู่ชั่วยามของร่างกาย จนไม่สนใจสาระของชีวิต จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าร่างกายนี้ในที่สุดก็ต้องเป็นซากศพที่ไร้ประโยชน์

    ง. ฝึกปล่อยวางยามใกล้ตาย
    การพิจารณาถึงความสูญเสียพลัดพรากนานาประการที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย ไม่ว่า ทรัพย์สิน บุคคล งานการ ชื่อเสียงเกียรติยศ ตามที่กล่าวมาข้างต้น อาจนำมาใช้เพื่อฝึกการปล่อยวางโดยเฉพาะ กล่าวคือพิจารณาว่าหากจะต้องตายจริง ๆ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ไม่มีเวลาเหลือพอที่จะทำอะไรกับสิ่งเหล่านั้น นอกจากทำใจปล่อยวางอย่างเดียว เราสามารถจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่ บางคนอาจพบว่าตนสามารถปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ได้หมด แต่ยังอาลัยลูกหลาน หรือเป็นห่วงพ่อแม่ ส่วนบางคนเป็นห่วงก็แต่งานการเท่านั้น อย่างไรก็ตามการฝึกเช่นนี้บ่อย ๆ จะช่วยให้ตัดใจได้เร็วขึ้น เพราะตระหนักว่าหากความตายมาประชิดตัวจริง ๆ ไม่ว่าจะอาลัยใคร หรือห่วงใยอะไรก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเป็นโทษ คือทำให้เป็นทุกข์สถานเดียว ในภาวะเช่นนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง วิธีนี้จะเป็นประโยชน์มากในกรณีที่เกิดเหตุปัจจุบันทันด่วนซึ่งบั่นรอนชีวิตอย่างกะทันหัน การฝึกวิธีนี้อยู่เสมอจะช่วยให้สามารถปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพุทธศาสนาถือว่ามีความสำคัญมาก ดังจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า


    วิธีการทั้ง ๔ ประการข้างต้น พึงสังเกตว่ามีจุดเน้นหนักต่างกัน กล่าวคือ ๒ วิธีการแรก (ก.และ ข.) เน้นการเตือนใจให้ขวนขวายทำความดี เร่งทำหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่ผัดผ่อนปล่อยให้คั่งค้าง หรือปล่อยให้เวลาสูญเปล่าโดยเปล่าประโยชน์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเตือนใจไม่ให้ประมาท ส่วน ๒ วิธีหลัง ( ค.และง.) เน้นการปล่อยวาง ไม่ยึดติดให้เป็นภาระแก่จิตใจ หรือเหนี่ยวรั้งขัดขวางการดำเนินชีวิตที่ดีงาม หากต้องการให้เกิดประโยชน์ทั้ง ๒ ส่วน คือเตือนใจไม่ให้ประมาท และฝึกการปล่อยวาง ควรใช้วิธีฝึกตายเต็มรูปแบบดังได้ยกตัวอย่างข้างต้น

    ๒ เจริญมรณสติในโอกาสต่าง ๆ
    การเจริญมรณสติสามารถทำได้ในหลายโอกาส ไม่จำกัดเฉพาะเวลาก่อนนอน อาจจะทำหลังจากตื่นนอนแล้วก็ได้ โดยพิจารณาว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของเรา เราพร้อมที่จะไปแล้วหรือยัง นอกจากนั้นอาจใช้โอกาสต่าง ๆ เป็นเครื่องเตือนใจถึงความตายว่าพร้อมจะเกิดกับเราได้ทุกเวลา จึงควรที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ข้างล่างเป็นตัวอย่างการเจริญมรณสติในช่วงเวลาต่าง ๆ


     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ )
    ก.ก่อนเดินทาง
    ก่อนเดินทางไม่ว่า ขึ้นรถ ลงเรือ นั่งเครื่องบิน พึงระลึกอยู่เสมอว่าความตายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะจากอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงควรเตรียมใจไว้เสมอ ลองนึกว่าหากเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เราจะทำใจอย่างไร นึกถึงอะไรก่อน และพร้อมจะปล่อยวางทุกสิ่งที่เคยผูกพันหรือไม่ จะน้อมระลึกถึงอะไรเพื่อทำใจให้สงบและพร้อมรับกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น โดยไม่ตื่นตระหนก

    เมื่อจะเดินทางออกจากบ้าน ก็ควรระลึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ลองสมมติว่าหากนี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรา เมื่อออกไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับมาพบหน้าพ่อแม่ คนรักหรือลูกหลานอีก เราพร้อมหรือไม่ มีเรื่องค้างคาบ้างไหมที่จะทำให้เรานึกเสียใจที่ไม่ได้สะสางให้เสร็จก่อนออกเดินทาง มีความขัดแย้งใด ๆ บ้างไหมที่จะทำให้เราเสียใจที่ไม่ได้คืนดีกันก่อน การระลึกเช่นนี้จะช่วยให้เราหันมาปฏิบัติกับผู้คนในครอบครัวด้วยความใส่ใจก่อนที่จะออกเดินทาง ไม่ปล่อยให้มีเรื่องคาใจกันด้วยหวังว่าจะมีโอกาสปรับความเข้าใจในวันข้างหน้า เพราะวันนั้นอาจมาไม่ถึงก็ได้ ในทำนองเดียวกันก่อนจะเดินทางออกจากที่ทำงาน ก็ควรเจริญมรณสติ เพื่อเตือนใจว่าเราอาจไม่มีโอกาสได้พบหน้ามิตรสหายอีก จึงควรปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุดก่อนที่จะลาจากกัน
    ข.เมื่อรับรู้ข่าวสาร

    ช่วงเวลาที่อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าว เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เหมาะแก่การเจริญมรณสติ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวอุบัติเหตุหรือวินาศภัย แทนที่จะรับรู้แบบผ่าน ๆ หรือเห็นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ควรใช้ข่าวดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจตนเองว่า ชีวิตนี้ไม่เที่ยงอย่างยิ่ง จู่ ๆ ก็มาตายไปอย่างกะทันหัน ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าเลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตายได้ทั้งนั้น จะให้ดีกว่านั้นลองโยงเหตุการณ์ดังกล่าวเข้ามาหาตัวเอง โดยน้อมนึกไปกว่าสักวันหนึ่งเราก็อาจต้องประสบกับเหตุการณ์อย่างนั้นเช่นกัน คำถามก็คือเมื่อถึงตอนนั้น เราจะทำใจอย่างไร พร้อมจะตายหรือไม่ ทุกวันนี้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ หากไม่ได้ทำ จากนี้ไปเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ตื่นตระหนกหรือทุรนทุราย

    ช่วงที่ใจสงบ ลองสมมติว่าเราได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น นึกให้เห็นเป็นภาพอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเรา นึกถึงสถานการณ์ที่คับขันไร้ทางออก ราวกับว่าอันตรายกำลังเกิดขึ้นกับเราจริง ๆ จากนั้นให้มาสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ว่าเกิดความตื่นกลัว อึดอัด หวาดผวา ทุรนทุราย มากน้อยเพียงใด หากอารมณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น ก็ให้พิจารณาว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว ถามตัวเองว่าเราควรทำอย่างไรเพื่อน้อมใจให้สงบ อะไรจะช่วยให้เราปล่อยวางหรือรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดีที่สุด นี้เป็นอีกวิธีหนึ่งในการฝึกตายในสถานการณ์ที่คับขัน การทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะช่วยให้เรามีสติรู้ตัวไวขึ้น และรับมือกับอารมณ์ของตัวได้ดีขึ้น การจินตนาการถึงตัวเองในเหตุการณ์ดังกล่าว ยังช่วยให้เรารู้ว่าควรทำและไม่ควรทำอะไรเพื่อประคองตนให้ผ่านพ้นเหตุการณ์คับขันไปได้หากเกิดขึ้นจริง ๆ กับเรา

    ค.เมื่อไปงานศพ
    งานศพไม่ควรเป็นแค่งานสังคมเท่านั้น แต่ควรเป็นงานบุญในทุกความหมาย กล่าวคือนอกจากทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ และให้กำลังใจแก่ครอบครัวของผู้วายชนม์แล้ว ยังควรเป็นโอกาสให้เรามาเตือนสติตนเองเพื่อระลึกถึงสัจธรรมอันเที่ยงแท้แน่นอนว่าความตายคือปลายทางของทุกคน ครั้งหนึ่งผู้ตายก็เคยมีชีวิตเดินเหินเคลื่อนไหวได้เหมือนอย่างเรา แต่ต่อไปเราก็จะต้องทอดร่างแน่นิ่งเช่นเดียวกับเขา ไม่มีอะไรที่จะเอาไปได้สักอย่างเดียว มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่จะติดตัวไปยังปรโลก

    ศพที่อยู่เบื้องหน้าเราคือครูสอนธรรมที่ดีที่สุด สามารถปลุกให้เราตื่นจากความหลงและความประมาทในชีวิต ใครที่ยังมัวเมาในความสนุกหรือหมกมุ่นกับการทำมาหากิน ก็อาจได้คิดว่าตนกำลังมีชีวิตอยู่อย่างลืมตาย ใครที่คิดว่าตนเองยังมีเวลาอยู่ในโลกอีกหลายสิบปี อาจต้องทบทวนความคิดเสียใหม่เมื่อมางานศพของเด็กหรือวัยรุ่น ใครที่หลงในอำนาจ ก็อาจได้คิดว่าไม่ว่าใหญ่โตแค่ไหนสุดท้ายก็ยังเล็กกว่าโลง

    เมื่อเปิดใจรับรู้สัจธรรมที่ประกาศอยู่เบื้องหน้า เราก็จะพบคำตอบเองว่าพร้อมจะไปหรือยัง และควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
    ง.เมื่อไปเยี่ยมผู้ป่วย

    ผู้ป่วยที่กำลังล้มหมอนนอนเสื่อ ครั้งหนึ่งก็เคยมีสุขภาพดีเช่นเดียวกับเรา เมื่อไปเยี่ยมเขา จึงควรระลึกว่าสักวันหนึ่งร่างกายของเราก็ต้องเสื่อมทรุดไม่ต่างจากเขา แม้จะมีโอกาสรักษาหาย แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะความเจ็บป่วยจะมาเป็นระลอก ๆ และมีแต่จะรุนแรงขึ้น สุดท้ายก็ตามมาด้วยความตาย ดังนั้นเมื่อไปเยี่ยมผู้ป่วยจึงควรถือเป็นโอกาสเตือนใจตนเองด้วยว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง และที่สุดของความไม่เที่ยงก็คือความตายนั่นเอง

    พึงถือว่าผู้ป่วยเป็นครูสอนธรรมแก่เรา โดยเฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไม่ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาต่อความเจ็บป่วยอย่างไร ก็เป็นประโยชน์แก่เราทั้งสิ้น หากเขาทุรนทุราย กระสับกระส่าย เขาก็กำลังสอนเราว่าควรเตรียมตัวอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ทรมานเหมือนเขา หากเขาสงบและมีสติรู้ตัวแม้ทุกขเวทนาจะแรงกล้า เขาก็กำลังเป็นแบบอย่างให้แก่เราว่าควรวางใจอย่างไร และอาจบอกเราต่อไปด้วยว่าควรเตรียมตัวอย่างไรในขณะที่สุขภาพยังดีอยู่

    การรักษาใจให้สงบในยามเจ็บป่วย เป็นเรื่องเดียวกับการรักษาใจให้สงบเมื่อเผชิญกับความตาย ดังนั้นเมื่อเราล้มป่วย แทนที่จะมัวทุกข์ใจ ควรถือว่าความเจ็บป่วยเป็นแบบฝึกหัดอย่างดีสำหรับการฝึกใจรับมือกับความตาย อย่างน้อยก็ควรมองว่าความเจ็บป่วยเป็นบททดสอบขั้นแรก ๆ ก่อนที่จะต้องเจอกับบทสุดท้ายที่ยากที่สุดคือความตาย หากเรายังทำใจรับมือกับความเจ็บป่วยไม่ได้แล้วจะไปรับมือกับความตายได้อย่างไร

    จ. เมื่อสูญเสียทรัพย์
    เมื่อเงินหาย ทรัพย์สินถูกขโมย เราย่อมเป็นทุกข์ แต่มองในอีกแง่มุมหนึ่ง นี่คือแบบฝึกหัดที่ช่วยให้เรารู้จักปล่อยวางเพื่อรับมือกับความตาย ใช่หรือไม่ว่าความตายคือสุดยอดแห่งความพลัดพรากสูญเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีหรือเป็นไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรมจะสูญสิ้นไปหมดเมื่อสิ้นลม แต่เราจะเผชิญความตายอย่างสงบได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่เงินพันเงินหมื่นหายไปเรายังทำใจไม่ได้ แม้วันนี้จะสูญไปเป็นล้าน แต่เมื่อความตายมาถึงเราจะสูญยิ่งกว่านั้นหลายร้อยเท่า

    เมื่อใดก็ตามที่ทรัพย์สมบัติสูญหายไป พึงระลึกว่าความพลัดพรากสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญก็คือเราจะไม่สูญเสียเพียงเท่านี้ แต่จะสูญเสียยิ่งกว่านี้ และในที่สุดก็จะสูญเสียจนหมดสิ้น กระทั่งชีวิตก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เมื่อระลึกเช่นนี้แล้ว แทนที่จะยังหวงแหนติดยึดมัน เราควรตัดใจปล่อยวาง เพราะหากวันนี้ยังทุกข์กับมัน วันหน้าจะทุกข์ยิ่งกว่านี้มากมายหลายเท่า

    ๓.มีอุบายเตือนใจถึงความตาย
    มรณสติสามารถเกิดขึ้นได้โดยอาศัยสิ่งเตือนใจที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน นอกจากโอกาสหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบแก่ตัวเองดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังสามารถหาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นเครื่องเตือนใจตนเองเป็นอาจิณ สุดแท้แต่เงื่อนไขหรือมุมมองของแต่ละคน เป็น “กุศโลบาย” ที่เหมาะเฉพาะตัว

    อาจารย์กรรมฐานชาวธิเบตบางท่าน เมื่อจะเข้านอน ท่านจะเทน้ำออกจากแก้วจนหมดแล้วคว่ำแก้วไว้ข้างเตียง ทั้งนี้เพราะท่านไม่แน่ใจว่าจะตื่นขึ้นแล้วได้ใช้มันในวันรุ่งขึ้นหรือไม่ กิจวัตรดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจท่านว่าความตายจะมาถึงท่านเมื่อไรก็ได้

    นักเขียนไทยผู้หนึ่งอ่านพบเรื่องดังกล่าว จึงนำมาประยุกต์ใช้กับตนเอง ทุกคืนก่อนนอนเธอจะต้องล้างจานชามให้เสร็จหมด เพื่อให้แน่ใจว่าหากหลับไม่ตื่น จะไม่มีจานชามสกปรกตกเป็นภาระให้ผู้อื่นต้องสะสาง จานชามที่ยังไม่ได้ล้างจึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจว่าคืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายของเธอ

    บางคนเตือนใจตนเองโดยใช้ลูกหิน ลูกหินแต่ละลูกหมายถึงเวลา ๑ สัปดาห์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาคาดการณ์ว่าน่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้นานเท่าไร โดยคำนวณจากอายุคาดเฉลี่ย (๗๕ ปี) จากนั้นก็แตกออกมาเป็นสัปดาห์ เขาอายุได้ ๕๕ ปีแล้ว จึงคาดว่าน่ามีชีวิตเหลืออยู่อีก ๑,๐๐๐ สัปดาห์ จึงซื้อลูกหินมา ๑,๐๐๐ ลูก ใส่ไว้ในถังพลาสติกใส ทุกสัปดาห์เขาจะเก็บลูกหินออกมา ๑ ลูกแล้วทิ้งไป เวลาผ่านไปจำนวนลูกหินก็ลดลง ทำให้เขาเห็นชัดว่าเวลาของเขาเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ วิธีนี้เตือนใจให้เขาระลึกถึงความตายว่ากำลังใกล้เข้ามา และทำให้เขาเลือกทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเป็นอันดับแรก ไม่หลงเพลินกับสิ่งที่ไร้สาระ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    แต่ละคนมีวิธีการเตือนใจตนเองไม่เหมือนกัน อันที่จริงรอบตัวเรามีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่สามารถเป็นอุปกรณ์ในทางมรณสติ อาทิ อาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก ดอกไม้ที่เต่งตูม เบ่งบาน และร่วงโรย ใบไม้ที่ผลิบานแล้วร่วงหล่น ในธรรมชาติเต็มไปด้วยสิ่งเตือนใจถึงความไม่จิรังของชีวิต พระพุทธองค์ทรงแนะให้เราพิจารณาชีวิตของเราว่าไม่ต่างจากฟองคลื่น หยาดน้ำค้าง ประกายสายฟ้า คือเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ควรน้อมมาเปรียบกับตัวเองอยู่เสมอ

    ๔. ทำกิจกรรมฝึกใจรับความตาย
    นอกจากการฝึกตายและการถือเอาเหตุการณ์ที่ไม่สมหวังมาเป็นแบบทดสอบเพื่อฝึกจิตใจของตนเองแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากที่ช่วยให้เราสำรวจตรวจสอบความพร้อมของตน ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวเตรียมใจไปด้วย

    ตัวอย่างหนึ่งได้แก่ การฝึกปล่อยวางคนรักของหวง โดยเลือกบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของที่เราคิดว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับเรามา ๗ อย่าง จากนั้นให้ถามตนเองว่าในบรรดา ๗ อย่างนั้น หากมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องสูญเสียไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด หลังจากนั้นให้ถามต่อไปเป็นลำดับว่า

    หากต้องสูญเสีย ๑ ใน ๖ อย่างนั้นไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด
    หากต้องสูญเสีย ๑ ใน ๕ อย่างนั้นไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด
    หากต้องสูญเสีย ๑ ใน ๔ อย่างนั้นไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด
    หากต้องสูญเสีย ๑ ใน ๓ อย่างนั้นไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด
    หากต้องสูญเสีย ๑ ใน ๒ อย่างนั้นไป อะไรที่เราตัดใจได้ง่ายที่สุด


    กิจกรรมนี้อาจทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นโดยใช้การสมมติถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงอันนำไปสู่การสูญเสียอย่างฉับพลัน เช่น

    สมมติว่าเกิดไฟไหม้บ้าน ทำให้เราต้องสูญเสีย ๑ ใน ๗ อย่างนั้นไป เราจะเลือกตัดอะไรออกไป

    ต่อมาเกิดแผ่นดินไหว ๑ ใน ๖ อย่างนั้นเกิดมีอันเป็นไป ถูกทำลายสูญหายไป เราจะเลือกตัดสิ่งใดออกไป

    ต่อมาเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ เรารอดชีวิตมาได้ แต่ต้องสูญเสีย ๑ ใน ๕ อย่างนั้นไป เราจะยอมเสียอะไรไป

    ต่อมาเกิดสึนามิ ทำให้เราต้องสูญเสีย ๑ ใน ๔ อย่างนั้นไป เราจะตัดสิ่งใดออกไป

    ต่อมาเรือโดยสารเกิดพลิกคว่ำกลางทะเล แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่เราต้องสูญเสีย ๑ ใน ๓ อย่างนั้นไป เราจะยอมเสียอะไรไป

    หลังจากนั้นไม่นานเราประสบอุทกภัย ต้องสูญเสีย ๑ ใน ๒ อย่างนั้นไป เราจะยอมเลือกเก็บอะไรไว้ และตัดใจทิ้งอะไรไป

    กิจกรรมดังกล่าวนอกจากฝึกให้เราหัดปล่อยวางเป็นลำดับแล้ว ยังช่วยให้เราตรวจสอบตัวเองด้วยว่ายังติดยึดอะไรบ้าง และอะไรที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเรา บางคนพบว่าตนเองรักหรือห่วงหมายิ่งกว่าพี่น้อง บางคนยอมสูญเสียทุกอย่างแต่ไม่พร้อมจะสละตุ๊กตาคู่ชีวิต บางคนเลือกที่จะสละเครื่องคอมพิวเตอร์คู่ชีพเป็นอันดับสุดท้าย การรู้จักตัวเองในแง่นี้จะช่วยให้เราปรับจิตวางใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นตัวเองในด้านที่ไม่เคยนึกมาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนมีประโยชน์ต่อการเตรียมใจเผชิญความตายทั้งสิ้น เพราะในที่สุดแล้วเราต้องสูญเสียทุกอย่างไปจนหมดสิ้น และแม้จะยังไม่ตาย ก็ยังต้องพบกับความสูญเสียอยู่นั่นเอง โดยที่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถเลือกได้ด้วยซ้ำว่าจะยอมสูญเสียอะไรหรือรักษาอะไรไว้

    ตายเป็นก็อยู่เป็น
    มรณสติเป็นสิ่งที่พึงบำเพ็ญเป็นนิจ บ่อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น คราวหนึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสถามภิกษุกลุ่มหนึ่งว่าเจริญมรณสติอย่างไร
    รูปแรกกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันก็จะตาย
    รูปที่สองกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งวันก็จะตาย
    รูปที่สามกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงครึ่งวันก็จะตาย
    รูปที่สี่กล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงฉันอาหารได้มื้อหนึ่งก็จะตาย
    รูปที่ห้ากล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงฉันอาหารได้ครึ่งหนึ่งก็จะตาย
    รูปที่หกกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วเวลาเคี้ยวอาหารได้ ๔-๕ คำก็จะตาย
    รูปที่เจ็ดกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วเวลาเคี้ยวอาหารได้คำหนึ่งก็จะตาย

    รูปสุดท้ายกล่าวว่า ตนระลึกอยู่เสมอว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก หรือหายใจออกหายใจเข้าก็จะตาย

    ทั้งนี้ทุกรูปพูดสรุปท้ายว่า เมื่อระลึกถึงความตายของตนแล้ว ก็จะระลึกและพยายามปฏิบัติ ตามคำสอนของพระองค์ให้มาก

    พระพุทธองค์ได้ฟังแล้วตรัสว่า ภิกษุรูปที่ ๑-๖ ยังเป็นผู้ที่ประมาทอยู่ ส่วนภิกษุรูปที่๗ และ ๘ ซึ่งเจริญมรณสติทุกคำข้าว หรือทุกลมหายใจ จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท

    ควรกล่าวในที่นี้ว่าการเจริญมรณสตินั้นมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ทำให้รู้สึกสลดหดหู่ เห็นชีวิตไร้คุณค่า หรือหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิต ในทางตรงกันข้ามมรณสตินั้นหากพิจารณาอย่างถูกวิธี ย่อมทำให้ตระหนักว่าชีวิตและเวลาแต่ละนาทีที่ยังเหลืออยู่นั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า หรือปล่อยเวลาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ คนเรานั้นหากไม่ตระหนักว่าชีวิตและเวลาที่อยู่ในโลกนี้มีจำกัด ก็จะใช้ไปอย่างไม่เห็นคุณค่าเลย บางครั้งกลับทำสิ่งซึ่งบั่นทอนหรือตัดรอนชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ กว่าจะตระหนักว่าชีวิตและเวลามีคุณค่า ความตายก็มาประชิดตัวแล้ว ถึงตอนนั้นก็อาจทำอะไรแทบไม่ได้แล้ว
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,432
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    ประโยชน์ของการเจริญมรณสติ กล่าวโดยสรุป มี ๓ ประการคือ
    ๑.ทำให้ขวนขวายใส่ใจในสิ่งที่ชอบผัดผ่อน

    ดังได้กล่าวแล้วว่ามรณสติทำให้เราตระหนักว่าเรามีเวลาเหลืออยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด และจะตายไปเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ (“ชาติหน้าหรือวันพรุ่งนี้ อะไรจะมาก่อน ไม่มีใครเลยที่รู้ได้”เป็นภาษิตธิเบตที่ย้ำเตือนความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี) ดังนั้นจึงกระตุ้นให้เราต้องเร่งรีบทำสิ่งสำคัญก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ โดยทั่วไปสิ่งสำคัญเหล่านี้เรามักชอบผัดผ่อน เนื่องจากเห็นว่าจะทำเมื่อไรก็ได้ ไม่มี “เส้นตาย” เช่น การปฏิบัติธรรม การสร้างสมบุญกุศล การให้เวลากับครอบครัวหรือพ่อแม่ ในขณะที่กิจวัตรประจำวันของเรานั้นมีเรื่องอื่น ๆ มากมายที่ดูเหมือนเร่งด่วนกว่า เพราะมีเส้นตายชัดเจน จึงบังคับอยู่ในทีให้ต้องทำให้เสร็จโดยเร็ว เช่น ส่งลูกไปโรงเรียน หาลูกค้าให้ถึงเป้า ส่งงานตามกำหนด ผ่อนรถ ไปงานศพ ฯลฯ บางอย่างแม้ไม่สำคัญเลย แต่ดึงดูดใจมากกว่า และมีกำหนดเวลาชัดเจน เช่น ไปเที่ยวห้างที่กำลังจัดเทศกาลลดราคา ชมภาพยนตร์ซึ่งใกล้จะออกจากโรง หรือดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก กิจกรรมเหล่านี้มักแย่งเวลาไปจากเราจนไม่มีเวลาเหลือสำหรับสิ่งสำคัญที่ไม่เร่งด่วน ผลก็คือต้องเลื่อนการเข้าอบรมปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ หรือไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเสียที ส่วนการไปเยี่ยมพ่อแม่หรือบวชให้ท่านก็ต้องผัดแล้วผัดอีก มีหลายคนที่ต่อเมื่อป่วยหนักกะทันหันจึงค่อยรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในขณะที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ บางคนมาได้คิดเมื่อใกล้จะตายแต่ถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้วที่จะทำอะไรได้

    การระลึกถึงความตายอย่างจริงจังจะกระตุ้นให้เราจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตใหม่หมด จากเดิมที่เอาเรื่องสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนไปไว้ในลำดับท้าย ๆ คือทำทีหลังสุดเมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว (ซึ่งมักจะไม่เสร็จเสียทีเพราะมีเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาอยู่เรื่อย ๆ) ก็จะเลื่อนขึ้นมาทำเป็นอันดับแรก ๆ หรือทำเป็นกิจวัตร ส่วนเรื่องที่ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน ตลอดจนเรื่องที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนแต่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินใจ ก็จะถูกจัดไว้ในลำดับท้าย ๆ คือทำหลังจากที่สิ่งสำคัญได้ทำเสร็จแล้ว

    ผู้ที่เจริญมรณสติอย่างถูกวิธี ไม่เพียงเตือนตนว่าต้องตายไม่ช้าก็เร็ว หากยังถามตนเองอยู่เสมอว่าพร้อมจะตายหรือยังหากหมดลมวันนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อม คำถามนี้จะกระตุ้นให้ใส่ใจขวนขวายทำ ๒ ประการต่อไปนี้


    ก.การทำงานภายใน


    การทำงานภายในหมายถึงการเตรียมใจให้พร้อมเมื่อความตายมาถึงไม่ว่าเมื่อไรหรือในลักษณะใด เช่น ฝึกสติเพื่อรักษาใจให้ปกติไม่ตื่นตระหนกตกใจเมื่อวาระสุดท้ายใกล้จะมาถึง หรือเมื่อเกิดเหตุร้ายกะทันหัน รวมทั้งเตรียมใจรับมือกับทุกขเวทนาอันแรงกล้าที่มักจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นลม สามารถประคองใจให้เป็นกุศล ไม่ถูกรบกวนด้วยความอาลัยอาวรณ์หรือความโศกเศร้าเมื่อจะต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันก็ไม่มีสิ่งค้างคาใจใด ๆ ให้ต้องนึกเสียใจหรือขุ่นเคืองใจ ประการหลังนี้อาจได้แก่ความรู้สึกผิดที่เคยทำสิ่งไม่ถูกต้องหรือความโกรธแค้นใครบางคนที่ทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้ตนเอง จะปลดเปลื้องความรู้สึกดังกล่าวออกไปได้ การเตรียมใจอย่างเดียวอาจไม่พอ หากต้องทำมากกว่านั้น เช่น การไปขอขมาหรือขออโหสิจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น การทำงานภายนอกให้แล้วเสร็จดังจะกล่าวต่อไปก็จะช่วยให้ทำใจรับมือกับความตายได้ดีขึ้นด้วย


    ข.การทำงานภายนอก


    การทำงานภายนอกหมายถึงการจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น หรือต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้อื่น รวมถึงการจัดการสิ่งนอกตัว เช่น ทรัพย์สมบัติ และการงานที่รับผิดชอบ อาทิ การทำหน้าที่ต่อลูกหลานหรือพ่อแม่ให้ครบถ้วน ได้แก่ การเลี้ยงดู ให้การศึกษา ดูแลพยาบาล ขณะเดียวกันก็เตรียมทุกสิ่งให้พร้อมหากเราต้องจากโลกนี้ไป กล่าวคือนอกจากการจัดทำพินัยกรรม หรือจัดสรรมรดกให้เรียบร้อยแล้ว ยังควรเตรียมผู้คนที่เกี่ยวข้องให้พร้อมเผชิญกับการจากไปของเราด้วย เช่น เตรียมลูกให้เข้าใจถึงเรื่องความตาย ตระหนักว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความตายเป็นเรื่องธรรมดา สั่งเสียล่วงหน้าหรือแนะนำว่าเขาควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไรหากเราไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว รวมทั้งฝากฝังพ่อแม่ให้แก่พี่น้องหรือมิตรสหายช่วยดูแล เป็นต้น

    ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนร้อยละ ๙๐ ตายในลักษณะที่เป็นไปอย่างช้า ๆ มิใช่ตายอย่างกะทันหัน และส่วนใหญ่ตายในโรงพยาบาล ปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือการรักษาพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือผู้ป่วยที่หมดหวังจะรักษาให้หายได้ ด้วยข้อจำกัดทางการแพทย์ ผู้ป่วยเหล่านี้จำนวนมากมักถูกยืดชีวิตให้ยืนยาวออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีโอกาสจะหาย ขณะเดียวกันก็ประสบกับความทุกข์ทรมานมากจากกระบวนการรักษา จึงมีคำถามว่าควรจะให้การรักษาหรือแทรกแซงทางการแพทย์มากน้อยเพียงใด คำถามนี้อาจตอบได้ไม่ยากหากผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมตัดสินได้ด้วยตนเอง แต่กลายเป็นปัญหาใหญ่เมื่อผู้ป่วยไร้สติสัมปชัญญะ อยู่ในภาวะโคม่า หรือไม่สามารถสื่อสารความคิดความเห็นของตนได้ (ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันมากขึ้นว่าแม้อยู่ในภาวะโคม่าแต่ก็รับรู้ทุกอย่างไม่ต่างจากคนปกติ รวมทั้งรับรู้ความเจ็บปวดจากการรักษาด้วย) กรณีดังกล่าวสร้างความลำบากใจให้แก่ญาติผู้ป่วย ซึ่งมักจะมีความเห็นแตกต่างกันไป ทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อจิตใจของผู้ป่วยได้ ยังไม่นับถึงผลด้านอื่น ๆ ที่เกิดจากการรักษา เช่น ค่าใช้จ่าย และการกระทำต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในภาวะที่ไม่อาจปฏิเสธได้

    เพื่อที่จะลดทอนปัญหาดังกล่าว เราจึงควรเตรียมการในเรื่องนี้แต่เนิ่น ๆ ว่าหากมีเหตุต้องล้มป่วยโดยอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสื่อสารได้ เราอยากจะให้มีการเยียวยารักษาแค่ไหน หรืออนุญาตให้ทำกับร่างกายของเราได้มากน้อยเพียงใด การเตรียมในเรื่องนี้นอกจากเป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ พยาบาล และญาติมิตรด้วยในการเลือกวิธีการรักษาหรือแทรกแซงทางการแพทย์

    มีวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบว่าได้เตรียมงานภายนอกมากน้อยเพียงใด ก็คือการเขียน “พินัยกรรมชีวิต” โดยมีรายละเอียด ๖ ประเด็นคือ

    ๑)ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ อยากให้จัดการอย่างไรบ้าง
    ๒)ญาติมิตร ลูกหลาน พ่อแม่ อยากฝากให้ผู้ที่ยังอยู่ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
    ๓)ร่างกายของเรา อยากให้จัดการต่ออย่างไรบ้าง
    ๔)การงานหรือธุรกิจที่คั่งค้าง อยากให้จัดการต่ออย่างไรบ้าง
    ๕)งานศพของเรา อยากให้จัดการอย่างไรบ้าง
    ๖)หากเราอยู่ในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถพูดหรือสื่อสารได้ การรักษาแบบใดที่
    ไม่ต้องการให้ทำกับเรา และการรักษาดูแลแบบใดที่อยากให้ทำ รวมทั้งอยากพบ
    ใคร หรืออยากให้ใครมาดูแลเรา

    ๒. ทำให้ปล่อยวางสิ่งที่ชอบยึดติด

    ความยึดติดคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราไม่พร้อมเผชิญกับความตาย เพราะความตายหมายถึงการพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ คนเรายึดติดหลายอย่างทั้งบุคคลและสิ่งของ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ความห่วงหาอาลัยสิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากทุรนทุรายกระสับกระส่ายเมื่อความตายมาถึง ในแง่ของพุทธศาสนา ความยึดติดไม่เพียงทำให้ทุกข์ใจทั้งในยามปกติและในยามไม่ปกติ คือเมื่อแก่ชรา เจ็บป่วย และสิ้นชีวิตเท่านั้น หากยังเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเมื่อตายไปแล้วด้วย

    การระลึกว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย และอาจตายอย่างไม่สงบหากใจยังยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทำให้เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนการปล่อยวาง การฝึกฝนที่ให้ได้ผลนั้นไม่ควรทำต่อเมื่อรู้ว่าใกล้จะตาย แต่ควรทำเป็นอาจิณในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นปกติ การปล่อยวางนั้นไม่ได้หมายถึงการไม่รับผิดชอบ ตรงกันข้ามยิ่งเห็นความสำคัญของการปล่อยวาง ก็ยิ่งเร่งทำหน้าที่ที่รับผิดชอบให้สมบูรณ์ เพราะเมื่อทำเสร็จแล้วย่อมเราย่อมปล่อยวางได้ง่ายขึ้น พ่อแม่ที่เตรียมพร้อมทุกอย่างให้ลูก ทั้งเงินทอง วิชาความรู้ ศีลธรรมจรรยา รวมทั้งความรักความอบอุ่น ย่อมห่วงลูกน้อยกว่าพ่อแม่ที่ยังทำหน้าที่ไม่ดีพอ หากจะต้องตายก็พร้อมจะตายได้มากกว่า

    ผู้ที่เห็นความสำคัญของการปล่อยวาง ย่อมไม่ปล่อยใจให้ทุกข์ไปกับความสูญเสียทรัพย์หรือเหินห่างพลัดพรากจากคนรัก เพราะถือว่าเป็นแบบฝึกหัดให้รู้จักปล่อยวาง เขาจะเตือนตนเสมอว่าหากเพียงเท่านี้ยังปล่อยวางไม่ได้ ในยามที่ต้องสูญเสียมากกว่านี้เพราะความตายมาพรากเอาไป จะไม่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้หรือ ในทำนองเดียวกันเมื่อเจ็บป่วย เราไม่ได้ทุกข์กายเพราะความเจ็บปวดรบกวนเท่านั้น แต่ยังมักทุกข์ใจเพราะยึดติดกับอดีตเมื่อครั้งยังมีสุขภาพดี หรือยึดติดกับความสุขที่เคยมีก่อนป่วย หาไม่ก็ทุกข์ใจเพราะกลัวว่าวันข้างหน้าจะไม่มีความสุขเหมือนก่อน หรือถึงกับสร้างภาพอนาคตไปในทางเลวร้าย แต่ผู้ที่เห็นความสำคัญของการเตรียมใจเผชิญความตาย จะไม่ยอมปล่อยใจไปกับความเจ็บป่วยง่าย ๆ แต่จะใช้โอกาสนี้ฝึกการปล่อยวางความหมกมุ่นทั้งอดีตและอนาคต และใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด การเจริญมรณสติยังช่วยเตือนใจเขาด้วยว่า หากความเจ็บป่วยเพียงเท่านี้ยังทำใจไม่ได้ แล้วจะรับมือกับความตายซึ่งหนักหนาสาหัสกว่านี้ได้อย่างไร

    อย่างไรก็ตามคนเราไม่ได้ติดยึดกับสิ่งที่น่าพึงพอใจอย่างเดียว แต่ยังมักติดยึดกับสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เช่น ความโกรธแค้น ความเกลียดชัง ความรู้สึกผิด ความล้มเหลวในอดีต ความผิดหวัง ภาพประทับอันเลวร้ายที่เคยพบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตประจำวันของเรามักประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ดังกล่าวเป็นประจำ ความยึดติดในอารมณ์อกุศลเหล่านี้มักสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่เราระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง เหตุการณ์หรือเรื่องราวเหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเราไปทันที หลายคนที่รู้สึกโกรธแค้นเพราะเพิ่งทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน มักพบว่าการระลึกถึงความตายของตนช่วยให้ปล่อยวางความโกรธไปได้มาก ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับความตาย หากยังเพราะตระหนักว่าในเมื่อสักวันหนึ่งเรากับเขาจะต้องตายจากกันแล้ว จะเกลียดชังโกรธแค้นกันไปทำไม
    ๓. ทำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    คนเรามักไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่กับตัว แต่กลับไปจดจ่อใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองยังไม่มี จึงหาความสุขได้ยาก เพราะจะถูกรบกวนด้วยความอยากได้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ไป จึงค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สมบัติ คนรัก หรือสุขภาพร่างกาย ใช่หรือไม่ว่าต่อเมื่อเจ็บป่วยเราจึงตระหนักว่าการมีสุขภาพดีนั้นเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว ต่อเมื่ออวัยวะบางอย่างสูญเสียหรือพิการไป เราจึงเห็นว่าอวัยวะดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งกว่าเงินทองชื่อเสียงที่เคยอยากได้ ต่อเมื่อคนรักจากไป จึงได้คิดว่าเขามีความหมายกับชีวิตของเราอย่างไร แว่นตา หรือนาฬิกาที่เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ต่อเมื่อมันหายไป จึงรู้ว่ามันมีประโยชน์กับเราเพียงใด
     

แชร์หน้านี้

Loading...