เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 สิงหาคม 2025 at 19:36.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตรงกับวันประชุมอบรมพระนวกะ ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิประจำปี ๒๕๖๘ มีวัดปากลำปิล็อก โดยท่านพระครูวิสุทธิ์กาญจนธรรม เจ้าอาวาสปากลำปิล็อกรับเป็นเจ้าภาพ

    สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเลย แม้กระทั่งพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนของเราก็คือ ไม่มีการเตรียมการไปจดบันทึกอะไรเลย รุ่นของกระผม/อาตมภาพโดนครูบาอาจารย์กรอกหูมาตั้งแต่ชั้นประถม ถึงหัวใจนักปราชญ์คือ สุ จิ ปุ ลิ ที่บาลีบอกว่า สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตฺโต กถํ โส ปณฺฑิโต ภเว ก็คือผู้ที่จะเป็นบัณฑิตต้องประกอบไปด้วย หัวใจนักปราชญ์ คือ สุ จิ ปุ ลิ

    สุตะ จงฟังเขา อย่าขี้เกียจ

    จิตตะ คิดให้ละเอียด ที่สงสัย

    ปุจฉา หลงจงถาม อย่าเกรงใจ

    ลิขิต เขียนไว้ได้ จะดีเอย

    คราวนี้เราท่านทั้งหลายเมื่อไม่บันทึก ก็จะไปตกอยู่อย่างที่คำพูดผู้รู้เขาว่า "จำดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ดีกว่าจำ" เนื่องเพราะว่าคนเรายิ่งนานไป สัญญาและปัญญา จะทรามลงไปเรื่อย ๆ ก็คือทั้งสมองและความรู้ความคิด ในการพินิจพิจารณาแยกแยะ มีแต่จะย่ำแย่ลงไปทุกวัน จึงขอทวนเรื่องที่ได้รับฟังมาในวันนี้ จากพระเถระรูปต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งทางราชการ ให้พวกเราได้รับรู้รับฟังอีกรอบหนึ่ง

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านกล่าวชมเสมอว่า พระภิกษุสามเณรของอำเภอทองผาภูมิมีความพร้อมเพรียง เป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งในการปกครองของเจ้าคณะตามลำดับ

    ความพร้อมเพรียงนั้นคือกายสามัคคี ใครเห็นก็ชื่นชมยินดีด้วย แต่ถ้าแค่กายสามัคคีในสถานที่ประชุมอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ เราต้องมีกายสามัคคีภายในวัดของตนด้วย อย่างเช่นว่าช่วยกันทำความสะอาดวัดโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้วัดเป็นรมณียสถาน น่าอยู่ น่าเข้าไปเพื่อที่จะศึกษาธรรมะ หรือว่าพักผ่อนร่างกายจิตใจ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    ลำดับถัดไป หลวงพ่อพระมหานรินทร์ - พระครูกาญจนสิรินธร ป.ธ. ๕ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดรางสมอ ท่านบอกว่าพระใหม่สมัยนี้ ส่วนใหญ่มีความมั่นใจตัวเองมาก แต่ด้วยความที่เป็นผู้ใหม่ ศึกษาน้อย อาจจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมได้ ท่านจึงฝากข้อคิดและการกระทำไว้ ๓ ข้อด้วยกัน

    ข้อแรกก็คือ จะทำอะไร ขอให้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์แก่วัดอย่างแท้จริงหรือไม่ ?

    ข้อที่ ๒ ให้ช่วยเหลือพรรคพวกเพื่อนฝูงภายในวัด กระทำกิจการงานต่าง ๆ อย่างเต็มที่

    ข้อที่ ๓ ให้เคารพเชื่อฟังเจ้าอาวาส ถ้าสามารถทำได้ทั้ง ๓ ข้อ เราจะเป็นพระนวกะที่ดีได้

    ลำดับถัดไปเป็นของเจ้าคณะอำเภอท่ามะกา พระครูวิบูลกาญจโนภาส, ดร. นอกจากกล่าวชมแล้ว ท่านฝากเอาไว้ว่า อย่างน้อยให้พระนวกะและน้องสามเณรเจริญสมาธิภาวนา ไม่ต้องมาก เอาแค่ขณิกสมาธิก็พอ อย่างน้อยบวชเข้ามาแล้วจะได้ว่า "เป็นผู้ได้ดื่มซึ่งรสพระธรรม" เนื่องเพราะว่าถ้าสามารถสัมผัสสมาธิได้อย่างแท้จริง จะทำให้เราไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติ แล้วจะได้พัฒนาสมาธิให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ลำดับต่อไปเป็นนางสาวดลชนก จันทร์สุข นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ทำหน้าที่แทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ได้มากล่าวถึงภาระหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีต่อพระภิกษุสามเณร

    แล้วถัดไปก็เป็นเจ้าคณะอำเภอบ่อพลอย พระครูสิริกาญจนาภิรักษ์, ดร. ผู้จบปริญญาเอกเป็นรูปแรกของจังหวัดกาญจนบุรี ท่านกล่าวถึงเรื่องสงคราม ๕ วัน ระหว่างไทยกับกัมพูชา บอกว่าในส่วนนี้ทำให้เห็นพัฒนาการด้านทาน ศีล ภาวนา ของคณะสงฆ์ไทยได้อย่างชัดเจน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    ในเรื่องของทานก็คือมีการเรี่ยไรข้าวของเงินทอง ส่งไปช่วยทั้งทหารที่แนวหน้า และชาวบ้านในศูนย์อพยพ

    ในเรื่องของศีลก็คือประเทศไทยของเรากล่าวแต่เรื่องที่เป็นจริงต่อชาวโลก ในขณะที่ทางประเทศกัมพูชาโกหกหลอกลวง จนผู้ที่ทราบความจริงแล้ว แทบจะไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย เพราะว่าเป็นผู้บกพร่องในศีล

    ส่วนในเรื่องภาวนา ก็คือทั้งพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยม ต่างก็เอาใจช่วยทหารที่แนวหน้า ขอให้ปลอดภัย เราจะเห็นว่ามุมมองของท่านเป็นมุมที่พวกเราไม่ค่อยจะได้คิดถึง

    รูปสุดท้ายในช่วงเช้าก็คือท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติวิบูล, ดร. (ศิริ สิริธโร ป.ธ. ๙) เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้จบปริญญาเอกรูปที่ ๒ ของจังหวัดกาญจนบุรี แต่ถือว่าสมบูรณ์ที่สุด เพราะว่าทางคณะสงฆ์ ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ทางโลกท่านก็จบปริญญาเอก ท่านมานำพระภิกษุสามเณรเจริญพระพุทธมนต์ให้กับเจ้าภาพที่มาถวายภัตตาหารเพล แต่ด้วยความที่ยังมีเวลาเหลือ ท่านจึงฝากข้อคิดของคนโบราณเอาไว้ให้ ๔ ข้อด้วยกัน

    ข้อแรกสำหรับชาวบ้านรอบวัด ก็คือ ปลูกเรือนใกล้ท่า ไม่มีน้ำจะกิน บรรดาชาวบ้านที่อยู่รอบวัด แต่ไม่รู้จักเข้าวัด ไม่รู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็เหมือนกับคนที่ปลูกบ้านอยู่ริมน้ำ แต่ไม่มีน้ำจะกิน..!

    ข้อที่ ๒ สำหรับพระภิกษุสามเณรของเรา ก็คือ ช่างปั้นหม้อดิน แต่ไม่มีหม้อจะใช้ เนื่องเพราะว่าอยู่กับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยคิดที่จะศึกษาเล่าเรียน เพื่อก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเลย เหมือนกับช่างปั้นหม้อ แต่ไม่คิดที่จะปั้น แล้วจะเอาหม้อที่ไหนมาใช้ ?

    ข้อที่ ๓ เป็นเรื่องของญาติโยม ก็คือ เลี้ยงไก่ไว้ แต่ไม่มีไก่จะขัน ก็คือทำบุญใส่บาตร เลี้ยงพระเลี้ยงเณรอยู่ทุกวัน แต่พระเณรไม่เอาอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาธรรมะ หรือแม้กระทั่งสวดมนต์ไหว้พระ เหมือนกับเลี้ยงไก่ไว้ ไก่ก็ไม่ขันให้แม้แต่น้อย..!

    ข้อสุดท้ายสำหรับทุกคนก็คือ ถ้าอยากไปสวรรค์ ให้ไปแก้ผ้าในวัด เพราะว่าสมัยก่อนคนโบราณรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎกไว้ ด้วยการห่อผ้าไว้อย่างดี ถ้าเราไม่ไปแก้ผ้าเพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียน เราก็จะไม่ได้อะไรเลย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    การเจริญพระพุทธมนต์ช่วงเพล ต้องบอกว่าสามเณรอำเภอทองผาภูมิ ทำให้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ "ได้หน้า" เป็นอย่างมาก ก็คือขึ้นบทไหนก็สวดได้หมด แม้กระทั่งบทให้พร ขึ้นบทไหนมาก็สวดได้หมด ขณะที่พระใหม่ของเรา แม้กระทั่งวัดท่าขนุน บางท่านก็ยังสวดไม่ได้ หลายท่านอาจจะบอกว่าเวลาน้อยไปบ้าง หัวไม่ดีเหมือนสามเณรที่เป็นเด็กบ้าง แต่ก็ต้องพยายามที่จะทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง

    ส่วนในช่วงบ่ายนั้น ท่านพระครูกาญจนสุตาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอไทรโยค ท่านมาแนะนำให้พระนวกะและน้องสามเณรอย่าทิ้งไตรสิกขา คือหลักการศึกษาสามอย่างใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อที่จะได้มีกำลังในการข่มกิเลส ตัดกิเลส คือ รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะย้ำในเรื่องของ "ความโกรธไม่ดี โกรธทีไรเสียหายทุกที" แล้วขณะเดียวกันก็ "อย่าท้อเรื่องยาก ทำมาก ๆ เรื่องยากก็สำเร็จลงได้" เหมือนกัน

    ถัดจากนั้นแล้วเป็นเจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ. ๙ ท่านบอกว่า ขอให้ทุกคนคงความเป็นพระนวกะ คือผู้ใหม่เอาไว้ให้ได้ตลอดชีวิต เพราะว่าพระผู้ใหม่ ครูบาอาจารย์หรือพี่เลี้ยงบอกอะไรก็เชื่อและทำตาม ไม่ใช่อยู่ไปแค่ไม่กี่วัน ก็เริ่มแก่แดดแก่ลม บอกอะไรก็ไม่ฟัง วัตรปฏิบัติอะไรก็ไม่เอา โดยเฉพาะให้ทุกคนยึดพุทธานุสติ คือมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะว่าพวกเราต่อให้มีความรู้ความสามารถเก่งแค่ไหน ก็ไม่ดีจริง ไม่เก่งจริง แต่พระพุทธเจ้านั้นดีจริงดีแท้แน่นอน..!

    แล้วปิดท้ายด้วยนายกฤษฎา มูลสวัสดิ์ ปลัดอำเภอทองผาภูมิฝ่ายปกครอง ที่มากล่าวถึงการกระทำบัตรให้ผู้ที่มีสถานะและไม่มีสถานะบุคคล โดยกล่าวว่าบัตรนั้นมีเลขตั้งแต่ ๑ ถึง ๕ ระบุสถานะว่าเป็นคนไทยในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นมาโดยบรรพบุรุษบ้าง เป็นในรุ่นที่ ๒ ที่ ๓ บ้าง เป็นต้น

    ส่วนเลข ๖ และเลข ๗ นั้น เป็นต่างด้าวเข้ามา ได้รับการสำรวจแล้วออกบัตรยืนยันสถานะเอาไว้ให้ ผ่านการสำรวจครั้งแรกไป แล้วยังไม่ยอมมารับการสำรวจ เห็นเพื่อนฝูงได้บัตรแล้วค่อยเข้ามาสำรวจใหม่ ก็จะมีเลข ๗ นำหน้า ส่วนท่านที่มีเลข ๐ นำหน้านั้น คือบุคคลที่ยังไม่มีสถานะ รอการพิสูจน์ทราบ ซึ่งบุคคลที่ต้องการจะได้บัตรประชาชนไทย อันดับแรกเลย ต้องมีสูติบัตรคือใบเกิด อันดับที่สอง คือมีเอกสารยืนยันการเกิด ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องรับรองด้วยผู้ใหญ่บ้าน หรือว่าบุคคลที่ทางราชการเรียกตัวมาสัมภาษณ์ เพื่อยืนยันว่าบุคคลนี้เกิดในเมืองไทยจริง ๆ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,685
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,827
    ค่าพลัง:
    +26,689
    ถัดจากนั้นก็เป็นกระผม/อาตมภาพขึ้นไปสรุปให้ท่านทั้งหลายฟังอย่างเมื่อครู่นี้ แล้วปิดการอบรมโดยท่านพระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เจ้าอาวาสวัดพุทโธภาวนา

    คราวนี้ท่านทั้งหลายที่ไปเข้ารับการอบรม จำได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพย้ำเป็นรอบที่สองหรือเปล่า ? ถ้ารู้ตัวว่าจำไม่ได้ก็โปรดเลียนแบบคนโบราณด้วย
    "ไปไหนกระดาษกับปากกาให้ใกล้มือไว้เสมอ" ไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะเสียประโยชน์ได้ เพราะว่าสิ่งนี้เป็นคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แล้วไปปรากฏชัดในวันพระใหญ่ที่ลงทบทวนพระปาฏิโมกข์

    ขณะที่ทุกคนรอเทปบันทึกเสียง กระผม/อาตมภาพก็จดตามสิ่งที่หลวงพ่อท่านกล่าวมา ปรากฏว่าวันนั้นเครื่องบันทึกเสียงรวน ไม่มีใครได้เสียงหลวงพ่อที่ท่านสั่งสอนในวันพระใหญ่วันนั้นเลย..! ออกจากโบสถ์มา ทุกคนก็ฮือมาล้อมกระผม/อาตมภาพ "เป็นผึ้งแตกรัง" ประมาณว่าขอยืมโน้ตด้วย

    พวกเราจะเห็นว่าเทคโนโลยีนั้นพึ่งพาไม่ได้ สิ่งที่พึ่งพาได้ก็คือ ๑ สมอง กับ ๒ มือ ถ้าพึ่งพาเทคโนโลยี ถึงเวลาเสียหายไป เราจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวเลย หรือถ้าไม่ได้จดบันทึกไว้ ถึงเวลาเลือนลางจืดจางไป ก็ทบทวนใหม่ไม่ได้

    จึงฝากเอาไว้สำหรับพวกเราว่า แม้กระทั่งทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ยังบันทึกประจำวันอยู่เสมอ โดยเฉพาะในสมัยที่เป็นครูบาอาจารย์สอนในวิทยาลัยสงฆ์ เราจะต้องส่ง SAR ก็คือ บันทึกการเรียนการสอนประจำวัน ด้วยความที่เป็นคนบันทึกเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกหนักใจ ขณะที่ครูบาอาจารย์ท่านอื่นประสาทจะกิน..! เพราะว่าไม่เคยชินที่จะทำอย่างนั้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...