หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / พระอุบาลีเถระ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    อาจารย์ยอด : หลวงพ่อแดง เทพเจ้าเขาบันไดอิฐ [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    May 28, 2020
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    ประวัติหลวงพ่อแดง เทพเจ้าเขาบันไดอิฐ
    250px-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.jpg
    ชื่ออื่น หลวงพ่อแดง
    ส่วนบุคคล
    เกิด 17 กันยายน พ.ศ. 2422 (95 ปี)
    มรณภาพ 16 มกราคม พ.ศ. 2517
    ศาสนา พุทธ
    ตำแหน่งชั้นสูง
    ที่อยู่ วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    อุปสมบท 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2444
    พรรษา 75→
    ตำแหน่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ
    พระครูญาณวิลาศ เกิดเมื่อวันวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ จ.ศ. 1241 ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2422 ณ ตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี[1] เป็นบุตรคนที่ 5 ของนายแป้น กับนางนุ่ม อ้นแสง มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดารวมทั้งสิ้น 9 คน ได้แก่




      • นางเยีย อ้นแสง
      • นางเตี้ย อ้นแสง (มนต์ชู)
      • นางเจ็ก อ้นแสง (ทับสี)
      • นางสาวเปรม อ้นแสง
      • พระครูญาณวิลาศ (แดง รตฺโต)
      • นางเทียบ อ้นแสง (ทับสี)
      • พระครูปัญญาโชติวัฒน์ (เจริญ ธมฺมโชติ)
      • นางเล็ก อ้นแสง
      • นางน้อย อ้นแสง (เกิดประดับ)
    พระครูญาณวิลาศมรณภาพเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2517 เวลา 21.05 น. สิริอายุ 96 ปี[2][3]

    อุปสมบท

    ในวัยเยาว์ท่านช่วยพ่อแม่ทำไร่ ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสืออย่างเด็กสมัยนี้จนกระทั่งอายุ 20 ปี พ่อแม่ก็หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับเจ้าอธิการเปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อจะได้เล่าเรียน และบวชเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2444 เวลา 15.13 น. โดยมีพระครูญาณวิสุทธิ (พ่วง) วัดแก่นเหล็ก เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการเปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการอ่ำ วัดทองนพคุณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "รตฺโต" แปลว่า"สีแดง"

    ศึกษาธรรม[4]
    หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว เจ้าอธิการเปลี่ยนจึงได้สอนวิชาการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้ นอกจากเจ้าอธิการเปลี่ยนผู้สอนแล้ว หลวงพ่อแดงยังมีพระอาจารย์ผู้สอนพุทธาคมให้อีก 2 รูป นั่นคือพระสุวรรณมุนี (ฉุย สุโข) วัดคงคาราม จ.เพชรบุรี และหลวงพ่อแช่ม อินฺทโชโต วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งมาร่วมนั่งวิปัสสนากรรมฐานกับเจ้าอธิการเปลี่ยนในถ้ำที่วัดเขาบันไดอิฐ อยู่เป็นประจำ ทำให้หลวงพ่อแดงได้ฝากตัวเรียนวิทยาคมกับท่านทั้งสองด้วย เรื่องดังกล่าวนี้มีหลักฐานยืนยัน เพราะ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อแดงเคยเล่าไว้ในบทความว่า หลวงพ่อแดงท่านเคารพพระเถระสองรูปนี้มาก โดยหลวงพ่อแดงจะพกเหรียญอาจารย์ของท่านไว้ในย่ามเสมอ

    ชีวิตสมณะ
    หลวงพ่อแดงเป็นพระที่ประพฤติเคร่งครัดต่อพระวินัย สมถะไม่ชอบความยุ่งยากจากพิธีการ และไม่ชอบความสิ้นเปลืองจนเกินพระวินัย ท่านมักจะสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้มีความกตัญญู ซื่อสัตย์สุจริต โดยเปรียบเทียบกับตัวท่านเองว่า “อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ยังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ เพราะฉะนั้น! ขอให้ถือความสุจริต และทำคุณประโยชน์ของเราให้เด่นชัด ความดี ความชอบ จะนำมาซึ่งทุกอย่าง” แม้หลวงพ่อแดงจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ท่านมีความวิริยะอุตสาหะในการสั่งสอน และปกครองคณะสงฆ์ หลวงพ่อแดงเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรในเขตปกครองได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ท่านเคยปรารภไว้ว่า “ฉันอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงอยากให้พระเณรได้เล่าเรียน” หลวงพ่อแดงมีชื่อเสียงในทางสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่พระภิกษุสามเณรตลอดจนอุบาสกอุบาสิกา โดยพระภิกษุทั้งในและนอกอารามให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูญาณวิลาศ[5]

    สมณศักดิ์

    มรณภาพ
    หลวงพ่อแดงมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันพุธ แรม 8 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2517 สิริอายุ 95 ปี พรรษาที่ 73 ก่อนมรณภาพท่านเคยพูดกับพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล รองเจ้าอาวาสวัดขณะนั้นว่า “เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉันให้เหลืองเหมือนทองคำ” พระบุญส่งจึงรับปาก และได้ทำตามที่หลวงพ่อประสงค์ทุกอย่าง

    ปัจจุบันสรีระของท่านยังประดิษฐานอยู่ในหีบประดับมุกซึ่งตั้งอยู่ที่หอสวดมนต์วัดเขาบันไดอิฐ โดยประชาชนสามารถกราบนมัสการได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.
    :- https://th.wikipedia.org/wiki/พระครูญาณวิลาศ_(แดง_รตฺโต)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    พระโสณาเถรี l เอตทัคคะในฝ่าย ผู้ปรารภความเพียร #พระพุทธเจ้า #คนตื่นธรรม #โหนกระแส

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Dec 15, 2024

    พระโสณาเถรี เอตทัคคะในฝ่าย ผู้ปรารภความเพียร
    จากเศรษฐีเป็นอนาถา / ไร้ที่พึ่งพาจึงออกบวช / พอสำเร็จอรหันต์ก็แสดงอภินิหาริย์ /ได้รับยกย่องว่าเลิศทางความเพียร พระโสณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี ได้ชื่อว่า “โสณา” เมื่อเจริญวัยแล้วได้มีคู่ครองที่มีฐานะเสมอกัน อยู่ร่วมกันมามีบุตร ๗ คน มีธิดา ๗ คน เมื่อบุตรธิดาทั้งหลายเจริญวัยแล้วได้แต่งงานมีคู่ครองเรือนแยกย้ายกันออกไปอยู่ตามลำพัง ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพฆราวาสวิสัย ต่อมาสามีของนาง ถึงแก่กรรมลง นางได้ปกครองดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดโดยยังมิได้จัดสรรแบ่งปันให้แก่บุตรธิดาเลย และต่อมา บุตรธิดาเหล่านั้นได้พากันพาพูดกับนางบ่อย ๆ ว่า:- “คุณแม่ บิดาของพวกข้าพเจ้าก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเหล่านี้แม่จะเก็บเอาไว้ทำไม หรือแม่เกรงว่าพวกเราทั้ง ๑๔ คนนี้จะเลี้ยงแม่ไม่ได้” นางโสณาได้ฟังคำของลูก ๆ มาพูดกันอยู่บ่อย ๆ ก็คิดว่า “เมื่อเราแบ่งทรัพย์สมบัติให้ แล้ว ลูก ๆ ก็คงจะเลี้ยงดูเราให้มีความสุขได้ ไม่ต้องลำบาก” เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว นางก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกชายหญิงทั้ง ๑๔ คน ๆ ละเท่า ๆ กันแล้วนางก็ไปอยู่อาศัยกลับลูกชายคนโต เมื่อไปอยู่ใหม่ ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติ ดูแลอย่างดี แต่เมื่อนานไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจ พูดจาเสียดสีขึ้นวันละเล็กวันละน้อย พร้อมทั้งไปยุแหย่ให้สามีรังเกียจแม่ของตนเอง เมื่อพูดบ่อย ๆ เข้า สามี ก็เห็นคล้อยตามด้วย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกสะใภ้ได้พูดกับนางว่า:- “คุณแม่ความจริงแม่ก็มีลูกชายลูกหญิงตั้งหลายคน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม่ก็แบ่งให้ เท่า ๆ กัน มิใช่ว่าฉันจะได้ ๒ ส่วนมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ทำไมแม่จึงมาอยู่มากินแต่ที่บ้านฉันคนเดียว แม่ไม่รู้จักทางไปบ้านลูกคนอื่นเลยหรือ ?”
    ไร้ที่พึ่งพาจึงออกบวช
    นางโสณา ได้ฟังคำของลูกสะใภ้แล้ว อีกทั้งลูกชายก็ดูท่าทีคล้อยตามภรรยาของตน นางจึงจำใจห่อของใช้ส่วนตัวไปอาศัยลูกคนต่อ ๆ ไป และเหตุการณ์ก็เป็นไปทำนองเดียวกัน นางไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยลูกชายและลูกหญิงทั้ง ๑๔ คนนั้นได้ จึงคิดว่า “จะมีประโยชน์อะไรกับการอาศัยลูกเหล่านี้เราไปบวชเป็นภิกษุณีจะดีกว่า” นางโสณา ได้ไปยังสำนักภิกษุณีสงฆ์ ขอบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณี เพราะความที่ นางเป็นผู้มีลูกมาจึงได้ชื่อว่า “พหุปตติกาเถรี” นางเองก็คิดว่า “เราบวชในวัยชราไม่ควรที่จะอยู่ด้วยความประมาท” จงได้ช่วยนางภิกษุณีทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติตามกิจของภิกษุณีสงฆ์ แต่เพราะความเป็นผู้บวชใหม่ และอยู่ในวัยชราจึงทำกิจบกพร่อง นางภิกษุณีทั้งหลายจึงกระทำทัณฑกรรมลงโทษแก่เธอโดยให้เธอทำหน้าที่ ต้มน้ำอุ่นให้ภิกษุณีทั้งหลายสรง ทั้งเช้า-เย็นเป็นประจำบุตรธิดาของเธอได้มาเห็น ก็พากันพูดจาเยาะเย้ยจนเธอรู้สึกสลดใจ วันหนึ่ง พระโสณาเถรี ได้ไปหาฟืนและตักน้ำมาไว้ในโรงครัว แต่ยังมิได้ก่อไฟ พระเถรีก็คิดว่า “เราไม่ควรประมาท ควรจะอาศัยเวลาและสถานที่อันสงบสงัดนี้ บำเพ็ญสมณธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน” คิดดังนี้แล้วก็ได้พิจารณาอาการ ๓๒ ท่องบนภาวนาไปเดินจงกรมไปโดยยึดเสาโรงครัวเป็นแกนกลางเดินวนรอบเสาสำรวมจิตเจริญวิปัสสนา สำเร็จอรหันต์แสดงอภินิหาริย์
    ขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงทราบด้วยพระฌาณ จึง ทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีปานประหนึ่งว่าประทับอยู่ตรงหน้าพระเถรีนั้นแล้วตรัสสอนว่า:- “ดูก่อนนพหุปุตติกา ชีวิตความเป็นอยู่เพียงวันเดียวครู่เดียว ของผู้ที่เห็นธรรมอันสูงสุดที่เราได้แสดงแล้ว ดีกว่าประเสริฐกว่าชีวิตความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นธรรม”
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    พระอนุรุทธเถระ l เอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุญาณ ปฐมเหคุผ้าป่า-บังสกุล #พระพุทธเจ้า #คนตื่นธรรม #โหนกระแส

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Nov 19, 2024

    พระอนุรุทธเถระ เอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุญาณ เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล
    พระอนุรุทธเถระ เป็นพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า โดยท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระอนุรุทธเถระ ออกผนวชพร้อมกับเจ้าราชกุมารอีก 5 พระองค์ และนายอุบาลีภูษามาลา ณ อนุปิยนิคม เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านมักตรวจดูสัตวโลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าจึงยกย่องท่านให้เป็นพระเอตทัคคะผู้เลิศทางทิพยจักษุญาณ (ตาทิพย์) พระอนุรุทธเถระ เอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุญาณ ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วน พระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ
    ปฐมเหตุประเพณีการทอดผ้าบังสุกุล-ผ้าป่า สมัยหนึ่งท่านพระอนุรุทธเถระ จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวันเมืองราชคฤห์ จีวรที่ท่านใช้อยู่นั้น เก่ามาก ท่านจึงแสวงหาผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น) ตามกองขยะ กองหยากเยื่อเพื่อนำมาทำจีวรครั้งนั้น อดีตภรรยาเก่าของท่านชื่อ ชาลินี ซึ่งจุติได้เกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นพระเถระแสวงหาผ้าอยู่เช่นนั้นก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำผ้าทิพย์มาจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และคิดว่า “ถ้าเราจะนำเข้าไปถวายโดยตรง พระเถระก็คงไม่รับแน่” จึงหาอุบายซุกผ้าผืนนั้นในกองขยะกองหยากเยื่อ มีชายผ้าโผล่ออกมาเพื่อให้พระเถระได้เห็น ในทางที่พระเถระกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น พระเถระเห็นชายผ้าผืนนั้นแล้วถึงออกมาพิจารณาเป็นผ้าบังสุกุลและคิดว่า “ผ้าผืนนี้เป็นผ้าบังสุกุลที่มีคุณค่ายิ่งนัก” แล้วนำกลับไปสู่อาราม เพื่อจัดการทำจีวร
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    พระวักกลิเถระ l ภิกษุผู้เลิศด้านศรัทธาวิมุตติ#พระอรหันต์ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Apr 1, 2025
    ในอดีตชาติ สมัยพระพุทธเจ้าปทุมุตตร พระวักกลิเถระได้เกิดในเรือนมีสกุลในกรุงหังสาวดี วันหนึ่ง ท่านได้ไปวิหารกับอุบาสกทั้งหลายและได้เห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตรทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งภิกษุผู้เลิศด้านน้อมไปในศรัทธา ท่านปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ตลอด 7 วัน และตั้งความปรารถนา พระพุทธเจ้าปทุมุตตรทรงเห็นว่าความปรารถนานั้นไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่าท่านจะสำเร็จความปรารถนานี้ ในครั้งนั้น ท่านเป็นบุตรของพราหมณ์ในพระนครหังสาวดี ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าปทุมุตตร ผู้ทรงยังชนทั้งปวงให้ยินดีด้วยสำเนียงอันไพเราะและพระธรรมเทศนาอันลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าปทุมุตตรได้ทรงชมเชยสาวกของพระองค์ว่า ไม่มีภิกษุอื่นใดที่พ้นกิเลสด้วยศรัทธา มีความคิดดี ขวนขวายในการดูเรา เช่นกับภิกษุชื่อวกรินี้เลย เมื่อได้สดับพระพุทธภาษิตนั้น ท่านจึงชอบใจในตำแหน่งนั้น ท่านได้นิมนต์พระตถาคตพร้อมด้วยพระสาวกให้เสวยตลอด 7 วัน และถวายผ้า ท่านได้หมอบลงกราบทูลขอให้ได้เป็นเช่นเดียวกับภิกษุผู้มีศรัทธาธิมุตติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสชมเชย พระมหามุนีได้ตรัสในท่ามกลางบริษัทว่า ให้ดูมานพผู้นุ่งผ้าเหลือง ผู้มีอวัยวะอันบุญสั่งสมให้คล้ายทองคำ ในอนาคตกาล มานพผู้นี้จะได้เป็นพระสาวกของพระโคดม ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ในกัปที่แสนจากกัปนี้ จะมีพระศาสดาพระนามว่าโคตมะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มานพผู้นี้จะเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จะเป็นสาวกของพระศาสดามีชื่อว่า วักกลิ หลังจากตายจากมนุษย์แล้ว จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และหลังจากท่องเที่ยวในเทวโลกและมนุษย์ พุทธโลก ถึงกาลแห่งพระพุทธเจ้าโคตมะของพวกเรา พระเถระนี้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ กรุงสาวัตถี พวกญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า "วักกลิ" เมื่อยังเป็นเด็กอ่อน มารดาของท่านได้ถวายทารกนั้นแด่พระพุทธเจ้าเพื่อขอให้เป็นที่พึ่ง เพราะกำลังมีภัยจากปีศาจ ท่านเล่าว่า ในภพสุดท้ายนี้ ท่านได้เกิดในสกุลหนึ่งในพระนครสาวัตถี มารดาของท่านถูกภัยจากปีศาจคุกคาม มีใจหวาดกลัว จึงได้นำท่านผู้ละเอียดอ่อนไปถวายแด่พระผู้แสวงหาคุณใหญ่ พร้อมกราบทูลขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของเขาด้วยเถิด ในครั้งนั้น พระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ผู้กำลังหวาดกลัว ได้ทรงรับท่านด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม นับแต่นั้นมา ท่านก็เป็นผู้ที่ได้รับการรักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงพ้นจากความป่วยไข้ทั้งปวงและอยู่โดยสำราญ เมื่อเจริญวัยแล้ว ท่านได้เล่าเรียนไตรเพศจนจบศิลปศาสตร์ของพวกพราหมณ์ทั้งหมด วันหนึ่ง ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วมองดูพระรูปกายสมบัติโดยไม่รู้สึกอิ่มในการมอง จึงเที่ยวจาริกไปกับพระศาสดา ไม่ต้องการอยู่บ้าน เพราะคิดว่าอยู่บ้านแล้วจะไม่ได้เห็นพระศาสดาเป็นนิจ ถึงวันหนึ่ง ท่านก็ตัดสินใจบวชในสำนักของพระองค์ เว้นแต่เวลาที่ขบฉันและเวลาทำสรีระส่วนตัวเท่านั้นที่ท่านยอมละการมอง เวลาที่เหลือทั้งหมดท่านจะไปยืนในที่ที่จะมองเห็นพระพุทธเจ้าได้ การงานอื่นใดท่านก็ทิ้งหมดเพื่อเฝ้าดูพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ในการสาธยายและการบำเพ็ญกรรมฐานเป็นต้น ท่านก็มิได้กระทำ ในอรรถกถาได้อธิบายพระสัตธรรมในพระพุทธดำรัสที่ว่า "บัณฑิตใดเห็นสัตธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา" ออกเป็น 3 ประเภท คือ:
    • *ปริยัติสัทธรรม* คือ การเล่าเรียนพระพุทธพจน์ หรือการเรียนพระไตรปิฎก
    • *ปฏิบัติสัทธรรม* คือ การปฏิบัติตามไตรสิกขา หรือมรรคมีองค์ 8
    • *ปฏิเวสสัทธรรม* คือ การบรรลุอริยมรรค อริยผล และนิพพาน
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089
    โทษของสตรี สำหรับนักบวช **จุลลปโลภชาดก** #ชาดก 500 #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jul 17, 2025

    *จุลลปโลภชาดก* ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระศาสดาทรงเทศนาเพื่อตักเตือนภิกษุรูปหนึ่งที่กำลังลุ่มหลงสตรี โดยเล่าถึงอดีตกาลที่ *พระโพธิสัตว์* เสด็จมาเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าพรหมทัต และทรงมีพฤติกรรมแปลกประหลาดคือไม่ประสงค์จะใกล้ชิดสตรีเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งกษัตริย์ทรงให้หญิงฟ้อนรำมายั่วยวน ซึ่งทำให้พระโพธิสัตว์หลงใหลในกามและทรงหึงหวงไม่ต้องการให้สตรีของตนใกล้ชิดบุรุษอื่น ท้ายที่สุดพระโพธิสัตว์ทรงเห็นพระดาบสรูปหนึ่งผู้เสื่อมฌานเพราะถูกสตรีล่อลวง ทำให้ทรงสำนึกและกลับเข้าป่าบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ *พรหมโลก* ชาดกนี้เน้นย้ำถึง *โทษของสตรี* ที่สามารถทำลายพรหมจรรย์และนำไปสู่ความเสื่อมได้.
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,497
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,089

แชร์หน้านี้

Loading...