คลังเรื่องเด่น
-
การศึกษาศาสนา ย่อมเป็นฐานแห่งความเจริญงอกงามทางสติปัญญา
การศึกษาศาสนา ย่อมเป็นฐานแห่งความเจริญงอกงามทางสติปัญญา อันจะนำพาตนและนำพาสังคมส่วนรวมไปสู่ความพ้นทุกข์ พระโอวาทพระสังฆราช
ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อัมพร อมฺพโร) ได้ประทานคติธรรม แก่ ผู้สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา ๒๕๕๙ ดังนี้
คำว่า "ศาสนา" มีความหมายว่า "คำสั่งสอน" ดังนั้น การที่บุคคลเข้ามาศึกษาเรียนรู้ศาสนธรรมคำสั่งสอนอย่างเป็นระบบ ตามวิธีทางวิชากาสมัยใหม่ที่เรียกว่าศาสตร์ ย่อมก่อให้เกิดคุณประโยชน์หลายสถาน เพระสังคมย่อมไม่อาจแสวงหาสันติสุขเรียบร้อยได้โดยแท้ หากว่าปราศจากการประพฤติปฏิบัติตามศาสนธรรมคุณสมบุติเบื้องต้นของความเป็นพลเมืองที่บรรพชนไทยสั่งสมอบรมมาช้านานจึงได้แก่การนับถือศาสนา หมั่นศึกษาอบรมตนให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมของศาสนา และสามารถประพฤติปฏิบัติตนบนหลักคุณธรรมแห่งศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างถูกต้อง
บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาสาขาศาสนศึกษา ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ดีในเรื่องศาสนาต่างๆ ตามที่ได้ศึกษามาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ท่านทั้งหลายจะหยุดความสนใจใฝ่ศึกษาเพียงเท่านี้มิได้... -
“บวชถวายเป็นพระราชกุศล” ในหลวง ร.9 เจ้าหน้าที่รัฐ ลาได้ 15 วัน 16-30 ต.ค.
“บวชถวายเป็นพระราชกุศล” ในหลวง ร.9 เจ้าหน้าที่รัฐ ลาได้ 15 วัน 16-30 ต.ค.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า
ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ
โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนปกติ โดยเตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ 16-30 ตุลาคม 2560 รวมเป็นเวลา 15 วัน
2.การใช้สิทธิการลาตามข้อ 1 ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถจะลาอุปสมบท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก
3.ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ... -
"อุบายจับตัวใจ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"อุบายจับตัวใจ"
" .. ท่านให้ใช้คำบริกรรม "จะเป็นพุทโธ หรืออานาปานสติก็ได้" ล่อให้ใจมันมาอยู่ตรงนั้นเท่านั้น ถ้าใจไม่อยู่ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย "บริกรรมให้จิตมันอยู่ในคำบริกรรมนั้น เพื่อจะจับมันให้ได้"
บางคน "ถึงจะภาวนาพุทโธหรืออานาปานสติ ตัวจิตมันก็ไม่อยู่ในพุทโธ" จิตมันไปไหนก็ไม่ทราบ แม้แต่พุทโธก็หายไปด้วยกัน "นี่คือขาดสติแล้ว"
"จงตั้งสติคุมจิตให้อยู่ในพุทโธใหม่" ทำอย่างนี้อยู่เรื่อยไป "ทำบ่อยเข้าจิตก็อยู่เอง" เมื่อสติคุมจิตมาอยู่ในคำบริกรรม พุทโธ ๆ อันเดียวแล้ว ให้พิจารณาดูว่า "ใครผู่ว่าพุทโธ ก็จิตนั่นแหละเป็นผู้ว่าพุทโธ" เกิดจากอะไร ก็เกิดจากจิต ผู้คิด ผู้นึก ผู้รู้สึก
"จึงว่าจิตมันอยู่กับพุทโธแล้วคราวนี้" อย่าไปจับเอาพุทโธ "จับเอาความรู้สึกนั่นแหละ อันที่นึกคิดว่าพุทโธ" พอจับจิตได้แล้ว คำบริกรรมว่าพุทโธก็จะหายไป หรือถ้าไม่หายก็จงวางเสีย "จับเอาแต่ผู้รู้หรือธาตุรู้อันเดียว" .. "
"หลักภาวนา"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
ความสุขความทุกข์ของ“ใจ”เรา อยู่ที่ “มีกิเลสมากหรือมีกิเลสน้อย”
ความสุขหรือความทุกข์ของเรา
มันไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า..”เรารวยหรือจน”
เรา..จะใหญ่หรือเราไม่ใหญ่
แต่ความสุขความทุกข์ของ “ใจ” เรานี้
อยู่ที่ “มีกิเลสมากหรือมีกิเลสน้อย”
ถ้ามีกิเลสมาก
ความโลภความโกรธความหลงมาก
ก็จะมีความทุกข์มาก
ถ้ามีกิเลสน้อย
ความโลภความโกรธความหลงน้อย
ความทุกข์ก็จะน้อย
”ใจของเรา” ไม่จำเป็นที่จะต้องรวย
ถึงจะมีความสุข
และก็ไม่ได้ทุกข์เพราะความจน
ทุกข์เพราะความโลภ..
………………………………………………
.
คัดลอกการสนทนาธรรม ธรรมะบนเขา 9/11/2559
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น -
“กรรม ไม่มีเอียง มาตามสายทั้งกรรมดี..กรรมชั่ว”หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“…กรรม ไม่มีเอียง มาตามสายทั้งกรรมดี..กรรมชั่ว…”
ไปตกนรกถามถึงเรื่องกรรม กรรมของสัตว์นี้ก็มีมาตลอด มาถึงจุดนี้ๆ นั่น เห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มาตกตูมเอาเลย ตกมาด้วยสายของกรรมส่งเข้ามาๆ ทั้งนั้น เมื่อส่งเข้ามานรกหลุมใด สุขที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ภพใด ชาติใดมันก็ต้อง เป็นผู้เสวยอยู่ตามภพชาตินั้นๆ เช่น ส่งมาเป็นมนุษย์นี้ เราเองไม่รู้ว่าเราเกิด มาจากอะไร เราถึงได้มาเป็นมนุษย์
นี่ให้พระพุทธเจ้าทายปุ๊บทันทีเลยไม่ต้องนานละ นี่แต่ก่อนเธอสร้างอันนั้นๆ มาได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้คือ ความดีนั้นแหละ เรื่องความชั่วไม่มีหวัง ถ้า เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเศษมนุษย์ เศษส้วมเศษถานไปอีก ไม่ว่าจะเป็นส้วม เป็นถานยังเศษไปอีก นู่น เกิดเป็นอะไรๆ มาตามสายทั้งนั้น
เป็นมนุษย์เป็นสัตว์แต่ละประเภท มาตามสายของกรรมตัวเองที่สร้างมาๆ สร้างดีสร้างชั่ว กรรมของตัวเองสร้างมา ไม่มีผู้อื่นใดมาสร้างให้ แล้วใครจะมาลบล้างได้ นี่ละเป็นอย่างนั้น
ฟังซิสัตว์ตกนรกอยู่นั้น พระพุทธเจ้าทำนายซิ สัตว์ตัวนี้ตกนรกนี้เพราะทำกรรมอะไร ทำกรรมอันนั้นๆ บอกตลอดถึงตัวเหตุเลย ทำมา จากโน้นมาถึงนี้ ทำจากโน้นมาถึงนี้ๆ สัตว์นรกแต่ละรายๆ... -
วีดีโอ พาราณสี พุทธจักรไทยในแดนพุทธภูมิ
พาราณสี พุทธจักรไทยในแดนพุทธภูมิ
dhamma2513 :-
Published on Jan 15, 2014 -
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ตอน ผู้ไม่รู้อริยสัจย่อมหลงสร้างเหวแห่งความทุกข์เพื่อตัวเอง อยู่ร่ำไป
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ตอน ผู้ไม่รู้อริยสัจย่อมหลงสร้างเหวแห่งความทุกข์เพื่อตัวเอง อยู่ร่ำไป
ภิกษุ ท. ! บุคคลเหล่าใด จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ ก็ตาม ไม่รู้ อยู่ตามเป็นจริง ว่า “นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ;” ดังนี้แล้ว ; เขาเหล่านั้น ย่อม ยินดีอย่างยิ่ง ในเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่งชนิดที่เป็นไป
พร้อมเพื่อความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับใจ. เขาผู้ยินดีในเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่งชนิดนั้น ๆ แล้ว ย่อมก่อสร้างอยู่ ซึ่งเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่งชนิดที่เป็นไปพร้อมเพื่อความเกิด เป็นต้น นั้น ๆ. ครั้นเขาก่อสร้างเหตุปัจจัยนั้น ๆ แล้วเขาก็ตกลงในเหวแห่งความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับใจ นั่นเอง. เราย่อมกล่าวบุคคลเหล่านั้นว่า “เขา ไม่พ้นไปจากทุกข์ ทั้งหลาย คือความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับใจ ไปได้,” ดังนี้.
ที่มา - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๐/๑๗๒๙. -
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ตอน มนุษย์เป็นอันมาก ได้ยึดถือเอาที่พึ่งผิด ๆ
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ตอน มนุษย์เป็นอันมาก ได้ยึดถือเอาที่พึ่งผิด ๆ
มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว ย่อม ยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตน ๆ : นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย, นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด ; ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้.
ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วเห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์, เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์, เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์, และเห็นมรรคประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์ : นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม, นั่นคือ ที่พึ่งอันสูงสุด ; ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้.
ที่มา- ธ. ขุ ๒๕/๔๐/๒๔. -
“ความรักในมุมมองของทางตะวันออกและพุทธศาสนา”(ป.อ. ปยุตฺโต)
ความรักแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือราคะกับเมตตา
“๑.แบบหนุ่มสาวที่รักโดยต้องการความรักตอบ(ราคะ)
เป็นความรักที่อยากให้ตัวเองมีความสุข อยากแสวงหาคนที่ทำให้ตัวมีความสุขได้
จะรักคนที่คิดว่า เขาจะทำให้เรามีความสุขได้ เป็นความรักของหนุ่มสาวทั่วไป
ที่เราพูดถึงคือ “รักคนที่เราคิดว่า เขาเป็นคนที่จะทำ ให้เรามีความสุขได้ ถ้ามองในมุมนี้
ความรักแบบนี้ค่อนข้างจะเห็นตัวเองเป็นใหญ่ คือยึดเอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้ารักใครแล้วเขารักตอบ เราก็จะมีความสุข ถ้าเขาไม่รัก หรือทำให้เราไม่พอใจ เราก็จะทุกข์
เป็นลักษณะที่คนทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างอยากให้อีกคนมารักตอบ คือมาทำให้ตัวเองมีความสุขนั่นเอง
เมื่อได้อย่างหวัง เราก็จะพอใจ และบอกตัวเองว่ามีความสุข”
จริงๆแล้วถ้าทุกคนมีความรักกันแบบนี้ก็มักจะลงเอยด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
เพราะมันเป็นความรักที่ปนกับความเห็นแก่ความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง
เป็นความรักที่ “อยากได้”มากกว่า “อยากให้” เพราะต้องได้เขามา เราจึงมีความสุข
และถ้าคนๆนั้นไม่ตอบสนองเรา ไม่ว่าในเรื่องใด เราก็จะเป็นทุกข์ทันที ในทางพระเรียกความรักชนิดนี้ว่า “ราคะ”... -
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “โลกธรรม ๘ ประการ”(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “โลกธรรม ๘ ประการ”..
.. เมื่อทรงความดีตามนี้ได้แล้ว หลังจากนี้ไปก็พิจารณาตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จงอย่าติดในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ”
คืออย่าหวั่นไหว ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ที่เกิดมาในโลกนี้ แม้แต่วัตถุธาตุที่ไร้วิญญาณ รูปปั้นที่ไร้วิญญาณก็ต้องกระทบกระทั่งกับอาการของโลกธรรม ๘ ประการ คือเขาไม่กระทบแต่โลกธรรมเข้าไปกระทบเอง
“โลกธรรม ๘ ประการ” คือ
๑.”ได้ลาภ”
๒.”เสื่อมลาภ”
ทีนี้คนก็ดี สัตว์ก็ดี ก็ต้องมีการหวังได้ ถ้าเราไม่ได้เราก็อดตาย ก็มีความจำเป็นจะต้องทำ จะต้องแสวงหาก็ขอให้แสวงหาด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อย่าคดอย่าโกง อย่าลักอย่าขโมย อย่ายื้ออย่าแย่งของของเขา
ชีวิตของเราเลี้ยงไม่มากมันก็ทรงตัวแล้วต่อไปมันก็ต้องตาย ต่อมาได้ลาภแล้ว ความเสื่อมลาภก็ต้องสลายมีขึ้นอีก เพราะลาภที่ได้มาเราได้มาเพื่อใช้สอย ฉะนั้นเราก็ต้องมั่นใจว่าลาภที่เราได้มานี่มันก็ต้องหมดไปวันหนึ่งข้างหน้า
รวมความว่าได้ลาภมาแล้วอย่าดีใจเกินไป อย่าลืมตัวคิดว่าทรัพย์สมบัติส่วนนี้จะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย ถ้าลาภสลายตัวไปเราก็ไม่เสียใจ... -
คาถาป้องกันอันตรายทุกอย่าง( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
คาถาป้องกันอันตรายทุกอย่าง
เมื่อคืนนี้เวลา ๓ ทุ่มกลับไปจากที่นี่ ก่อนจะฟังนะ ทุกคนตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ภาวนาคาถาของท่านว่า สัมปติจฉามิ กับสัมปจิตฉามิ ว่าต่อกันไปเลยนะ
สัมปติจฉามิ นี่ผลก็คือ
(๑) ข้าศึกไม่เห็นตัว
(๒) มีเมตตามหานิยมทุกอย่าง เป็นเมตตาบารมี แล้วก็
(๓) ป้องกันอันตรายทุกอย่าง ทุกคนภาวนาว่า สัมปติจฉามิ นะ แล้วก็บทที่ ๒ สัมปจิตฉามิ ถ้าใครเขากลั่นแกล้งเราสักเพียงใดก็ตาม ผลการกลั่นแกล้งนั้นจะตกแก่ผู้กระทำและพรรคพวก
ก็รวมความว่า สัมปติจฉามิ กับสัมปจิตฉามิ ให้ทุกคนภาวนาไว้เป็นปกติ เวลาจะภาวนาให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้าภาวนาคาถา ๒ บทนี้ หรือบทใดบทหนึ่งถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน
ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าให้โดยตรง
ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๕๐ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ หน้า ๓๕
ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง -
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “พิจารณาในวิปัสสนาญาณ ๙”
คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “พิจารณาในวิปัสสนาญาณ ๙”..
.. การละสังโยชน์ เพื่อพ้นทุกข์ โดยการเดินศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพิจารณาในลำดับวิปัสสนาญาณ ๙ สังโยชน์ ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อยๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า “ท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล”
เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบท่านสอน เอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ ๑๐ ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้นๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็ว เพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะก็ขอต้นนี้แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา
ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าวไว้ พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา วิปัสสนาญาณ ๙
๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
๒.ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
๓.ภยตปัฏฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว... -
ยินดีต้อนรับสู่ฟาร์มศพ
สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อน เพราะไม่ว่าคุณจะมองไปที่ไหนก็ตาม คุณจะเห็นแต่ศพ ศพ และศพเต็มไปหมด และทั้งหมดนี้คือของจริงล้วนๆ ร่างของผู้เสียชีวิตทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาจากคณะมานุษยวิทยา สาขามานุษยวิทยานิติเวช ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ศพเหล่านี้ถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยตามเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อช่วยให้นักวิจัยศึกษาวิธีการเน่าสลายที่แตกต่างกัน ในการไขปริศนาอาชญากรรม
Krystle Lewis นักศึกษาผู้เข้าร่วมการศึกษาครั้งนี้ด้วยกล่าวว่า เธอกำลังศึกษาว่าเสื้อผ้าที่ติดอยู่กับร่างของผู้ตายนั้น จะส่งผลอย่างไรต่อศพ ในขณะที่ Justin Demere นักศึกษาอีกคนศึกษาเกี่ยวกับศพที่ถูกฆาตกรรมซึ่งร่องรอยที่ฆาตกรอำพรางไว้ จะถูกไขให้กระจ่าง
ทั้งนี้ร่างของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ทางคณะได้รับมาจากการบริจาค เพื่อการศึกษาทดลองโดยเฉพาะ
----------------
ขอบคุณที่มา
http://www.ngthai.com/science/4136/welcome-to-the-body-farm/ -
วิจารณ์แซ่ด! เด้ง “พงศ์พร” พ้นสำนักพุทธฯ
กลายเป็นประเด็นที่จะเรียกว่า “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ได้หรือเปล่า เพราะหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้โอนย้าย พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมเสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไปเป็นผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แ
ละ คุณออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้แต่งตั้งรองผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ เข้าไปรักษาราชการแทนผู้อำนวยการฯ / ปรากฏว่า คุณพงศ์พร กลับทำหนังสือโต้แย้งคำสั่งย้าย ยืนยันว่าไม่มีผลทางกฎหมาย และตนเองยังอยู่ในตำแหน่งเดิม ขณะที่การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักพุทธฯครั้งนี้ มีเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ดว่ารัฐบาลถูกกดดันจากพระผู้ใหญ่ที่ไม่พอใจการตรวจสอบเรื่อง “เงินทอนวัด” หรือเปล่า
นี่คือหนังสือของ พันตำรวจโท พงศ์พร ที่ทำถึง คุณออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุเหตุผลรวมทั้งหมด 7 ข้อ สรุปก็คือการรับโอนและการให้ไปช่วยราชการเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯนั้น ไม่ได้เป็นไปโดยความสมัครใจ และเรื่องนี้จะมีผลให้พ้นจากตำแหน่งจริงๆ นับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฉะนั้นวันนี้ตนเองยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป และมีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งทุกประการ จนกว่าจะเข้าเงื่อนไข /... -
พศ.อึ้งเกมFight of Gods พระพุทธเจ้าต่อสู้พระเยซู
วันนี้(7 ก.ย.) นายประดับ โพธิกาญจนวัตร โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เปิดเผยว่า พศ.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และองค์กรเครือข่ายชาวพุทธ เกี่ยวกับเนื้อหาของเกมไฟว์ออฟก๊อด (Fight of Godsဌ) โดยมีวางจำหน่ายในระบบขายเกมออนไลน์ชื่อดังหลายเว็บไซต์ ซึ่งเกมดังกล่าวมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับ ศาสนา ที่หยิบยกศาสดาของแต่ละศาสนา และเหล่าทวยเทพมาต่อสู้กัน เช่น พระพุทธเจ้าต่อสู้กับพระเยซู เป็นต้น พร้อมโฆษณาด้วยถ้อยคำว่า พระพุทธองค์ ปะทะ พระเยซู แมทช์หยุดโลกหยุดจักรวาลกันเลย ดังนั้น ทางภาคประชาชน องค์กร เครือข่ายชาวพุทธจึงเห็นว่า ไม่เหมาะสม ที่จะนำความเชื่อทางศาสนามาทำเกม ที่สำคัญยังนำศาสดาของแต่ละศาสนามาต่อสู้กัน เป็นการดูหมิ่นศาสดา และอาจจะสร้างความรู้สึกแตกแยกทางศาสนาเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกระทบต่อความรู้สึกต่อผู้ที่ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นๆด้วย
นายประดับ กล่าวต่อไปว่า พศ.จะประสานข้อมูลดังกล่าวไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม เนื่องจากพศ.ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้ผลิตเกมดังกล่าวอยู่ในต่างประเทศ... -
พระบารมีพระพุทธเจ้าหลวง กับดงพญาไฟ
อ่านแล้วขนลุก!! พระบารมีพระพุทธเจ้าหลวง กับ "ตำนานดงพญาไฟ" ป่าอาถรรพ์..ร.๕ ถึงกับพระราชทานตราแผ่นดินมาประทับที่โคนต้นไม้ เพื่อแก้เคล็ด
“ตำนานผาเสด็จ ดงพญาไฟ” พระบารมีในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ ตำนานของผาเสด็จ ในปีพ.ศ.๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งกรมรถไฟขึ้นใน สยามประเทศ ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๓๙ ก็ได้ให้มีการดำเนินก่อสร้างเส้นทางรถไฟต่อไปยังจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการทำทางรถไฟนั้นจะต้องผ่านดงพญาไฟ ซึ่ง"ดงพญาไฟ" สมัยนั้นก็คือ "ดงพญาเย็น" สมัยนี้ เหตุที่เรียกว่า ดงพญาไฟ ก็เพราะในดงทึบแห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตรายต่างๆ นานา ไม่ผิดกับเดินเข้ากองไฟ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เดินทางผ่านดงแห่งนี้ น้อยรายจะรอดชีวิต ไม่เสียชีวิตเพราะไข้ป่า ก็เพราะถูกสัตว์ร้ายเช่นเสือสิงห์กระทิงแรดกัดจนสิ้นชีวิต
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ”ผี” ผีดุเอามากๆ เล่าว่าเจ้าหน้าที่และคนงานที่สร้างทางรถไฟ ถูกผีหลอกหลอนเป็นไข้หัวโกร๋นตามๆ กันซ้ำยังมีเทือกเขาอยู่หลายแห่งขวางเส้นทาง ความจริงจะตัดหรือระเบิดอ้อมไปด้านข้างเคียงก็พอจะทำได้ แต่เส้นทางจะคดเคี้ยวดูไม่สวยงาม... -
สุดช๊อก!! บ้านพักผู้นำโลก ผีเฮี้ยนจน ปธน. อยู่ไม่ได้!!!
สัปดาห์นี้ขอเสนอทำเนียบประธานาธิบดี 3 แห่งที่จะมาประชันความเฮี้ยนกันจนประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีต้องออกตัวขอกลับไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า เพราะเจอวิญญาณสุดสะพรึง
หลายคนคงรู้จักและได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือเรื่องวิญญาณใน “บ้านพิษณุโลก” หรือบ้านประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยที่ทำให้ผู้นำของเราหลายยุคหลายสมัยไม่มีใครกล้าเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ จังๆ เลยสักคน นี่แหละหนา...ยิ่งเก่า ยิ่งขลัง ยิ่งมีเรื่องลึกลับในค้นหา...
แต่ไม่ใช่ที่ประเทศไทยที่เดียวนะคะที่บ้านพักนายกฯ มีความเฮี้ยน!! ในอีกหลายๆ ประเทศก็เฮี้ยนไม่แพ้กันจนเหล่าประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีต้องออกตัว “ขอกลับไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า” อยู่บ้านประจำตำแหน่งไม่ได้เพราะเจอวิญญาณที่ไม่พึงประสงค์ สัปดาห์นี้หมวยขอเสนอทำเนียบประธานาธิบดี 3 แห่งมาประชันความเฮี้ยนกับ “บ้านพิษณุโลก” เสียหน่อย
1. ที่แรกต้องยกให้กับบ้าน “โซริ ไดจิน โคเทอิ” ของญี่ปุ่น
ตัวบ้านล้อมรอบไปด้วยสวนญี่ปุ่นสวยงาม แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวยงามนี้ บ้านซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1929 ได้ผ่านเหตุการณ์การยึดอำนาจและฆาตกรรมมาแล้วหลายครั้ง... -
การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเสียที
ถาม : การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเสียที
ตอบ : ทำขาด การปฏิบัติของเราขาดความต่อเนื่อง ต้องถามว่า ถ้าเราจะเอาผลภายใน ๒๔ ชั่วโมง แล้วเราให้เวลาในการปฏิบัติกี่ชั่วโมง?
ถ้าจะเอาให้ได้ผลจริง ๆ ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ แต่ว่าการทุ่มเทไม่ได้หมายถึง เราไม่ทำอย่างอื่นเลย หากแต่ว่าเวลาเราทำแล้วให้กำลังใจทรงตัว ลุกแล้วอย่าทิ้งเลย ให้รักษากำลังใจนั้นเอาไว้ให้อยู่กับเรา จะพูด นอน เดิน ยืน กิน จะทำอะไรก็ตาม ให้กำลังใจเหมือนกับตอนที่เรานั่งปฏิบัติ
ถ้าสามารถทำอย่างนี้ให้ต่อเนื่องได้ ความก้าวหน้าจะมี ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ ก็อยู่แค่นั้นแหละ
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์
ที่มา วัดท่าขนุน -
ใจมันแย่งกัน - หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ใจมันแย่งกัน
ท่านบันทึกว่าพระ หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ก็ทรงสั่งว่า คืนนี้ใจมันแย่งกันนะ คำว่าใจมันแย่งกัน ก็หมายความว่าการเจริญกรรมฐานเดี๋ยวจะภาวนาบทนั้น เดี๋ยวจะภาวนาบทนี้ เดี๋ยวจะพิจารณาอย่างนี้ ถ้าอารมณ์มันแย่งกันอย่างนี้แล้ว การบรรลุมรรคผลมันจะช้ำ ทำให้มันทรงตัวเรียงตามลำดับ การเรียงอันดับก่อนนับกันมาตั้งแต่
1. จับอานาปานสติกรรมฐานควบกับพุทธานุสสติ
กรรมฐาน
2. หลังจากนั้นก็เอาจิตทรงพรหมวิหาร 4
3. จับกายคตาสติ
4. จับมรณัสสติ
5. จับอุปสมานุสสติ
6. จับอริยสัจ
ว่ากันมาตามลำดับให้จิตมันทรงตัว ท่านสั่งว่าให้ทำไปตามลำดับเพราะจิตเรามันยุ่ง องค์ภาวนาผ่านลำดับไม่เป็นเรื่องแล้วก็เพ่งสังโยชน์เข้า เมื่อองค์ภาวนาผ่านลำดับมาแล้วจิตหยุด ให้เพ่งสังโยชน์ 10 คือจับสังโยชน์ 10 วัดดูว่า เวลานี้สังโยชน์ 10 ประการ เราตัดตัวไหนไปได้แล้วบ้างที่ตัดได้แล้วมันทรงตัวไหม ถ้ามันไม่ทรงตัว แสดงว่าเราตัดไม่ได้จริง ถ้าส่วนใดที่ทรงตัวอยู่ แสดงว่าอันนั้นได้จริง นี่ท่านว่าอย่างนี้นะจำไว้ให้ดีนะ ว่าสังโยชน์ 10 ที่ต้องกำหนดไว้เสมอๆ พิจารณาไว้เสมอว่า จิตของเราสามารถเอาชนะจุดไหนได้แล้ว... -
หลวงปู่ขาวกับเด็กน้อย
เรื่องเล่า: หลวงปู่ขาวกับเด็กน้อย
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เขียนเล่าเรื่อง พระไพศาล วิสาโล
หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มีลูกศิษย์ลูกหานับถือมากโดยเฉพาะในภาคอีสาน ท่านเป็นพระที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงในสมาธิภาวนาจนเป็นที่เลื่องลือ ขณะเดียวกันท่านก็เปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างมาก
มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่ง แม่พาเด็กสามขวบมาถวายอาหารเช้าให้หลวงปู่ขาว ในฝาบาตรของหลวงปู่นั้นมีเงาะซึ่งปลอกเปลือกเรียบร้อยวางอยู่ใกล้ ๆ เด็กไม่เคยเห็นเงาะ ก็สนใจเพราะมันขาวน่ากินดี
หลวงปู่จึงถามเด็กน้อยว่าอยากกินหรือเปล่า ถ้าอยากกินต้องแลกกันนะ เด็กตอบประสาซื่อว่า อยากกิน แล้วถามว่าอยากกินต้องทำอย่างไร
หลวงปู่บอกให้นั่งสมาธิ เด็กถามว่านั่งสมาธิทำอย่างไร หลวงปู่จึงแนะว่า ให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หลับตา แล้วภาวนาไปด้วย
เด็กน้อยถามต่อว่าภาวนาอย่างไร หลวงปู่ขาวก็บอกว่าให้ภาวนาว่า “หมากเงาะ” (ภาษาอีสานเรียกลูกเงาะว่าหมากเงาะ )
เด็กก็ทำตาม ทีแรกเด็กนั่งไปก็เลียริมฝีปากไปด้วยเพราะอยากกินมาก แต่พอนั่งสมาธิไปสักพัก จิตก็รวมเป็นหนึ่ง รู้สึกสบาย... -
ทำของยากให้ง่าย (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ทำของยากให้ง่าย
“พวกเราน่าจะฟังภาษาบาลีออก เวลาที่พระสวดมนต์ เวลาที่พระให้พร จริง ๆ แล้วเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ทีนี้เราฟังไม่ออกก็กลายเป็นว่าขลังศักดิ์สิทธิ์ ความจริงพรจะขลังและศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อเราทำตาม
พระองค์ท่านตรัสว่า อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ ผู้มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ทรงศีลนั้น วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ ย่อมเป็นผู้ที่เจริญไปด้วยธรรมะสี่ประการ คือ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ เจริญด้วยอายุ เจริญด้วยวรรณะ เจริญด้วยความสุข เจริญด้วยกำลัง
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทั้งนั้น ทีนี้พวกเราฟังไม่ออก ไม่รู้แปลว่าอย่างไร รับไปขลัง ๆ เท่านั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะถ้าฟังออกจะรู้ว่ามีอะไรดี ๆ เยอะมาก
พระพุทธเจ้ากล่าวถึงธรรมะของพระองค์ท่านว่า มีอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ท่านมาพบเข้าจึง วิวรติ วิภชติ เอามาจำแนก เอามาแยกแยะ อาจิกฺขติ เทเสติ เอามาบอกกล่าว เอามาแสดง ปญฺญเปติ ปฏฺฐเปติ เอามาบัญญัติ เอามาก่อตั้ง อุตฺตานีกโรติ ทำของลึกให้ตื้น (ทำของยากให้ง่าย)
สมัยหลัง ๆ นี่คนเขาชอบสอนของยากให้ยากยิ่งขึ้น คนก็เลยเข้าถึงธรรมได้น้อย ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนธรรม... -
เปิด 20 ประเทศ !!! ใจบุญมากที่สุดในโลกประจำปี 2017 ไทยติดอันดับ 16
ดัชนี World Giving Index มุ่งวัดพฤติกรรมที่สะท้อนความใจบุญสุนทานของพลเมืองใน 139 ประเทศทั่วโลก โดยอาศัยข้อมูลจากแกลลัปโพลซึ่งสอบถามประชาชน 146,000 คน และใช้เกณฑ์ทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่ การบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิ การเป็นอาสาสมัคร และการให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้า
รายงานประจำปี 2017 พบว่า สัดส่วนประชากรโลกที่มีการบริจาคเงินในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางมูลนิธิเก็บข้อมูลสำหรับจัดทำรายงานของปีนี้ ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี
ประเทศตะวันตกซึ่งมีดัชนีความใจบุญติด 20 อันดับแรกของโพล ได้แก่ นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา,ออสเตรเลีย, แคนาดา, ไอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, มอลตา, ไอซ์แลนด์, เยอรมนี และนอร์เวย์ ล้วนมีคะแนนลดลงระหว่าง 1-5 จุดในปีนี้ ส่วนคะแนนรวมของทวีปยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย ก็นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบว่า แอฟริกาเป็นทวีปเดียวที่มีคะแนนความใจบุญสุนทานเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี
“แม้ทวีปของเราจะเผชิญวิกฤตท้าทายมากมาย แต่ก็น่าปลื้มใจที่ผู้คนมีน้ำใจไมตรีต่อกันมากขึ้น” จิลล์ เบตส์ ผู้บริหาร CAF ประจำภูมิภาคแอฟริกา ระบุ... -
การพิจารณาคลื่นทะเลให้อนิจจัง(พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ถาม : (ถามถึงการพิจารณาคลื่นทะเลให้อนิจจัง)
ตอบ : คลื่นทะเลที่ทยอยเข้าสู่ฝั่ง ลูกแรกหมดไป ลูกที่สองก็มา ลูกที่สองหมดไป ลูกที่สามก็มา เที่ยงแท้แน่นอนเสียที่ไหนล่ะ ? เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย ๆ
และขณะเดียวกัน ถ้าหากทะลเป็นคน ลักษณะการทำงานที่อยู่ในลักษณะนั้นทุกข์ไหมล่ะ ? มานั่งดูอยู่อย่างนี้ เราเองก็ทุกข์ เขาเองก็ทุกข์ แล้วจนกระทั่งในที่สุด ผลสุดท้ายจริง ๆ ทะเลก็อาจเหือดแห้งไม่มีอะไรเหลือ ตัวเราเองก็อาจตกตายไม่มีอะไรเหลืออยู่
สรุปแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คลื่นระลอกแรกที่เข้าสู่ฝั่งอาจเหมือนคนที่เกิดขึ้นมาก่อน เกิดก่อน ก็แก่ก่อนแล้วก็ตายก่อน ระลอกถัดไปก็เกิดตามมา ตายตามมา มีสิ้นสุดเสียที่ไหน ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็วนเวียนไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะหลุดพ้นไปได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาการเกิด เราก็จะหลุดพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้ ค่อย ๆ คิด ง่ายจะตายไป
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมีนาคม ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา วัดท่าขนุน -
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน หญิงคนใดคนหนึ่งที่จะสึกพระ
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน หญิงคนใดคนหนึ่งที่จะสึกพระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 99 นี้
พระภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว เข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง และก็มีหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งทำการนัดหมายกับชายผู้หนึ่งเพื่อไปหาความสุขทางกามารมณ์ด้วยกัน แต่ชายที่นัดหมายกันนั้นไม่ได้มาตามนัด นางหันมาพบพระภิกษุรูปนั้นนั่งสมาธิอยู่ก็ได้เกิดความคิดขึ้นว่า พระก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คงจะพอ “แก้ขัด” ได้บ้าง จึงได้เย้ายวนพระภิกษุนั้นด้วยวิธีการต่างๆ พระภิกษุนั้นเกิดธรรมสังเวชแผ่ซ่านไปทั่วสรีระ พระศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุนั้นด้วยตาทิพย์และได้ทรงแผ่โอภาสไปตรัสกับภิกษุรูปนั้นว่า “ภิกษุ ที่ที่ไม่รื่นรมย์ของพวกคนผู้แสวงหากามนั่นแหละ เป็นที่รื่นรมย์ของผู้มีราคะปราศจากแล้วทั้งหลาย”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 99 ว่า
รมณียานิ อรญฺญานิ
ยตฺถ น รมตี ชโน
วีตราคา รเมสฺสนฺติ
น เต กามคเวสิโนฯ
พระอรหันต์ผู้ปราศจากราคะแล้ว
จักยินดีในป่า อันน่ารื่นรมย์... -
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ ผู้เห็นภัยในการครองเรือน
เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ ผู้เห็นภัยในการครองเรือน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเรวตเถระ ผู้อยู่ที่ป่าสะแก ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 98 นี้
เรวตะเป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตรเถระพระอัครสาวกเบื้องขวา โดยเป็นน้องชายเพียงคนเดียวในบรรดาน้องชายและน้องสาวของพระสารีบุตร ที่ยังมิได้บรรพาอุปสมบทเป็นภิกษุหรือภิกษุณี บิดามารดาของเรวตะจึงต้องการให้เรวตะสืบสกุล เพราะเห็นว่า “อุปติสสะบุตรของเรา ละสมบัติประมาณเท่านี้บวชแล้ว ยังชักชวนน้องสาว 3 คน น้องชาย 2 คน ให้บวชด้วย เรวตะผู้เดียวเท่านั้นยังเหลืออยู่ ถ้าอุปติสสะจักชักชวนเรวตะให้บวชเสียแล้ว ทรัพย์ของเราประมาณเท่านี้ก็จักฉิบหาย วงศ์สกุลจักขาดศูนย์ เราจักผูกเรวตะไว้ ด้วยการอยู่ครองเรือน แต่ในกาลที่เขายังเป็นเด็กเถิด” เรวตะจึงถูกจับให้แต่งงานกับหญิงแรกรุ่นคนหนึ่งเมื่อตอนที่อายุเพียง ๗ ปี ในวันแต่งงานเรวตะได้พบหญิงชราอายุ 120 ปี มีความคิดว่า มนุษย์ทุกคนต้องชราภาพไปเช่นเดียวกันนี้ ดังนั้นเขาจึงเกิดความเบื่อหน่ายที่จะอยู่เป็นฆราวาส และหนีออกจากบ้านไปยังวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พำนักของภิกษุ 30 รูป... -
เราเกิดมาแล้วต้องตาย ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก
ให้ทุกคนรู้ตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาแล้วต้องตาย ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ไม่สามารถที่จะกำหนดแน่นอนได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
ในเมื่อความตายอยู่ประชิดติดเราจนขนาดนี้ เราก็ควรจะเร่งขวนขวายปฏิบัติในความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อสั่งสมความดีอันเป็นบุญกุศล เปรียบเหมือนเป็นเสบียงอาหาร เปรียบเหมือนยานพาหนะในการเดินทางไกลเพื่อข้ามห้วงวัฏสงสาร ยิ่งเรามีการเตรียมพร้อมมากเท่าไร เราก็จะสบายมากเท่านั้น มีความหวาดหวั่นต่อความตายน้อยเท่านั้น บุคคลที่มีการเตรียมพร้อมย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดง่าย ๆ
ในเมื่อเราเตรียมพร้อมที่จะตาย ถึงเวลาความตายเข้ามา เราก็ไม่ได้หวั่นไหวต่อความตาย เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะตายเอาไว้เสมอ ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เป็นเพียงการเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนร่างกายนี้ไปเท่านั้น
ถ้าจะเปรียบไปแล้วร่างกายของเรานี้ก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ตัวเราคือจิตที่มาอาศัยอยู่ตามบุญตามบาปที่ได้สร้างไว้ในอดีต เปรียบเหมือนกับคนขับรถ ถึงเวลารถยนต์หมดสภาพพังไป... -
คุณไสยมนตร์ดำที่ว่าแน่…ยังแพ้ “สามประโยคสั้นๆ” ของสมเด็จโต!
“สมเด็จพระพุฒาจารย์” (โต พรหมรังสี) เคยเล่าไว้ว่า ท่านได้เห็นอานิสงส์ของ “การสวดมนต์” ด้วยตัวเอง ในสมัยที่ท่านออกธุดงค์ในป่าเป็นเวลา ๑๕ ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟอันเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ซึ่งในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนตร์คาถาและเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยาม
ในตอนนั้น สมเด็จโตได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง โดยมิได้ศึกษาในเวทมนตร์คาถาอาคมใดเลย…นอกจากคำว่า
“พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
ซึ่งมีความหมายว่า “ข้าพเจ้าขอยึดมั่นพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง… พระธรรมเป็นที่พึ่ง… พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง”
เมื่อสมเด็จโตไปในที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของท่าน
ช่วงที่สมเด็จโตเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยามในเขตดงพญาไฟ ในหมู่บ้านตอนนั้นมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย ท่านจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งก็มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้เมื่อเห็นว่ามีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น... -
เผยตำนาน "ท้าวพญายมราช" อดีตชาติได้ตัดสินประหารชีวิตพ่อเพื่อทรงไว้ซึ่งคุณธรรม..
ตำนานท้าวพญายมราช
ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก
ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้านที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต... -
สุดยอด!คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า พระมหากษัตริย์ไทยใช้แต่โบราณมา สยบสัตว์ร้าย ป้องกันศัสตรา เมตตามหานิยม
“มงกุฎพระพุทธเจ้า”
หรือที่่รู้จักกันในชื่อ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย"
อันเป็นคาถาเสกหญ้าให้ม้ากิน ที่หลวงปู่เอี่ยมถวายแก่ ร.5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป
" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเสพุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตังพุทธปิติอิ "
อุปเท่ห์ในการใช้พระคาถา
ภาวนาทุกวันมิตกนรก เสกน้ำล้างหน้าทุกวันกันโรคภัยไข้เจ็บคุณไสยทั้งมวล ถ้าจะให้มีตบะเดชะให้ภาวนาทุกวัน เกิดสง่าราศีเป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย ให้ภาวนาแล้วแผ่เมตตาให้คนทั้งปวง ใครคิดร้ายก็ต้องมีอันเป็นไป ถ้าปรารถนาสิ่งใด ให้ภาวนาคาถานี้ ๑๘ คาบ เป็นไปได้ดังใจนึก
ถ้าจะให้เป็นมหาจังงัง ให้ภาวนาคาถานี้ ๘ คาบเป็นมหาจังงังแล ถ้าจะให้เป็นมหาละลวยให้ภาวนา ๙ คาบ
ถ้าช้างม้าวัวควายสัตว์ที่ดุร้ายทั้งหลาย ให้เสกหญ้าเสกของให้มันกิน กลับใจอ่อนรักเราแล ถ้าภูตพรายมันเข้าอยู่คน เสกข้าวให้มันกินออกแล
ถ้าปรารถนาจะให้เสียงเพราะ ให้เสกสีผึ้งสีปากเสกหมากกินไป เทศนาสวดร้องเป็นที่พอใจคนทั้งหลาย ให้เสกแป้งผัดหน้า เสกมงกุฎรัดเกล้า เป็นสง่าราศีใครเห็นใครรักทุกคน...
หน้า 360 ของ 432